แกะรอยความรุนแรงในครอบครัวยุคโควิดเพิ่มขึ้น20%
วงเสวนาถกความรุนแรงในครอบครัวยุคโควิดพบเกิดเหตุรุนแรงขึ้นกว่าร้อยละ20 มีผู้เข้ามาขอคำปรึกษาปัญหาความรุนแรงมากขึ้น
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ มีการจัดเสวนาออนไลน์ “แกะรอยโควิด-19 กับความรุนแรงในครอบครัว” จัดโดยมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และเครือข่ายอัมพวาโมเดล สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายในงานมีละครสะท้อนปัญหาความรุนแรงฯ โดยทีมเฉพาะกิจเธียเตอร์
นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า สถานการณ์ในประเทศไทย เมื่อปี 2563 มีประชาชนขอความช่วยเหลือเรื่องความรุนแรงกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เพิ่มขึ้น 20% มีทั้งปรึกษาด้านกฎหมายเพื่อไปแจ้งความเอง หรือขอให้มูลนิธิฯ ช่วยพาไปแจ้งความ ขณะเดียวกันการที่ผู้เสียหายเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือเพราะตอนนี้รัฐมุ่งเน้นแต่เรื่องแก้ปัญหาโควิดทำให้ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น สะท้อนว่าการระบาดของโควิด-19 พบความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะปัญหาเศรษฐกิจ คนขาดรายได้ ไม่มีงานทำ และเกิดความเครียดสะสม รวมถึงการล็อคดาวน์ ปิดสถานที่ ที่ผู้ชายใช้พบปะเพื่อนฝูง ทำให้ต้องอยู่ในครอบครัวมากขึ้น ผู้ชายส่วนหนึ่งยังปรับตัวไม่ได้ ทำให้เกิดภาวะความตึงเครียดในครอบครัวมากขึ้น และเริ่มใช้ความรุนแรงทั้งวาจา และการใช้กำลังทำร้ายร่างกาย ด้วยความรู้สึกว่ามีอำนาจเหนือกว่าภรรยา ลูก ดังนั้นต้องบังคับใช้กฎหมายการกระทำความรุนแรงในครอบครัวอย่างเคร่งครัด ไม่มองเป็นเรื่องส่วนตัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ต้องทำงานเชิงรุก โดยให้อาสาสมัครในชุมชนเฝ้าระวังในครอบครัวที่เกิดปัญหาความรุนแรงและหาทางช่วยเหลือได้ทันท่วงที การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับช่องทางการขอความช่วยเหลือเช่น สายด่วน 1300
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในสถานการณ์โควิด ทำให้ครอบครัวที่ไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น หย่าร้าง ก่ออาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 20-30 ทั้งนี้เมื่อดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลี้ยงดูพบความไม่เหมาะสมทั้งทางกายภาพ และอารมณ์ ส่วนการคุกคามทำร้ายร่างกาย พบว่ามีปัญหาเพิ่มขึ้นชัดเจน ขณะนี้เราได้เริ่มพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำรวจความเสี่ยง ความยากจน และความไม่มั่นคงของครอบครัว เพื่อจะได้รับการช่วยเหลือเป็นอันดับแรกๆ เมื่อเกิดวิกฤต โดยนำร่องใน 4 จังหวัด จังหวัดละ 1 ตำบล คือ กทม. สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ขณะนี้กำลังจะขยายไปทำทั้งจังหวัดที่นครสวรรค์ แต่ตอนนี้โควิดระบาด ทำให้เราไม่สามารถลงพื้นที่วงกว้างได้
พ.ต.อ.เผด็จ ภู่บุบผากาญจน ผกก.สภ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม กล่าวว่า โควิด-19 ทำให้คนตกงาน และครอบครัวใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานขึ้น ส่งผลต่อความเครียด ความสัมพันธ์ในครอบครัว ทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นด้วย การที่ตำรวจทำงานตั้งรับเมื่อเกิดเหตุอย่างเดียวนั้นเอาไม่อยู่ แต่ถ้าทำงานเชิงรุก เท่ากับเป็นผู้คุมเกม ปัจจุบันเราพัฒนาเป็นเครือข่ายอัมพวาโมเดล โดยการทำงานเป็นทีมร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด พม. บ้านพักเด็ก ฝ่ายปกครอง รพ.สต. ผู้นำชุมชน ครู และเจ้าอาวาสวัดบางกระพ้อม และมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัววางรูปแบบการทำงานเชิงรุกโดยลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวที่มีการใช้ความรุนแรง เริ่มจากเด็กพิเศษ เด็กทั่วไป เด็กที่มีแนวโน้มก่ออาชญากรรม และเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่ค่อยสมานฉันท์ ตามลำดับ มีช่องทางในการสื่อสารตรงมาที่ตำรวจให้เข้าช่วยเหลือโดยเร็ว
ขณะที่ นางนันทิยา พุ่มสุวรรณ ผู้ผ่านพ้นจากความรุนแรงในครอบครัว กล่าวว่า หากผู้หญิงที่เจอความรุนแรงในครอบครัวอย่าทน เพราะผู้ชายที่เคยทำร้ายเราแล้วครั้งหนึ่งก็มีโอกาสที่เขาจะทำร้ายเราเรื่อยๆในช่วงโควิดนี้ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ใช้ชีวิตยากลำบาก รายได้ลดลงไปมาก และก็มีเพื่อนๆที่เจอปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเข้ามาขอคำปรึกษาอยู่บ่อยๆ เข้าใจว่าภาวะความเครียดที่มากกว่าปกติในช่วงโควิดนี้ จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงในครอบครัวได้