posttoday

สหรัฐปลิดชีพนายพลผบ.กองกำลังอิหร่าน

03 มกราคม 2563

เพนตากอนยัน นายพลกัสซิม โซเลมานี ผบ.เหล่าทัพผู้ทรงอิทธิพลเบอร์สองของอิหร่าน เสียชีวิตจากปฏิบัติการโดรนโจมตีทางอากาศ

เพนตากอนยัน นายพลกัสซิม โซเลมานี ผบ.เหล่าทัพผู้ทรงอิทธิพลเบอร์สองของอิหร่าน เสียชีวิตจากปฏิบัติการโดรนโจมตีทางอากาศ

สื่อของทางการอิหร่านรายงานข่าวที่ยืนยันว่า พลเอกกัสซิม โซเลมานี (Qassem Suleimani) ผู้บัญชาการกองกำลัง Quds Force ซึ่งเป็นกองกำลังสำคัญในสังกัดของกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ได้เสียชึวิตแล้วจากเหตุโจมตีสนามบินแบกแดนในอิรัก

รายงานจากสื่อฝั่งอิหร่านระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงรุ่งสางของวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น มีจรวดไม่ทราบฝ่ายสามลูก ยิงใส่รถยนต์สองคันที่กำลังวิ่งไปสนามบินนานาชาติแบกแดด เป็นเหตุนายพลกัสซิม และทหารอิรัก 5 รายเสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นแขกของอิรักอีก 2 รายที่อยูในรถยนต์

สหรัฐปลิดชีพนายพลผบ.กองกำลังอิหร่าน นายพลกัสซิม กับ อายะตุลลอฮ์ อะลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน

ต่อมาด้านกระทรวงกลาโหมสหรัฐได้แถลงยืนยันว่า สหรัฐได้มีปฏิบัติการโดรนโจมตีทางอากาศเพื่อมุ่งหมายปลิดชีพนายพลกัสซิม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลัง Quds Force ของอิหร่านที่สนามบินในกรุงแบกแดด ด้วยเหตุผลเพื่อปกป้องบุคคลากรของสหรัฐ

สหรัฐให้เหตุผลว่า "นายพลโซเลมานี กำลังวางแผนโจมตีสถานทูตสหรัฐหลายแห่ง รวมถึงกองกำลังทหารอเมริกันในอิรักและในภูมิภาค นายพลโซเลมานีและกองกำลังภายใต้การนำของเขามีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของทหารอเมริกันและพันธมิตรหลายร้อยนาย รวมถึงเหยื่อผู้บาดเจ็บอีกนับพันคน"

ขณะที่อิหร่านยังยืนยันด้วยว่า Abu Mahdi al-Muhandis ผู้นำกองทัพอิรักและรองผู้นำกลุ่มฮาชด์ชาบีซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอิหร่าน ก็เสียชีวิตจากการโจมตีครั้งนี้ด้วย

สำหรับนายพลโซเลมานี เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญระดับท็อปของอิหร่านและเป็นผู้ทรงอิทธิพลเบอร์สองของกองทัพอิหร่าน เป็นรองจากอายะตุลลอฮ์ อะลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน

ปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้มีขึ้นหลังจากเหตุประชาชนในอิรัก รวมตัวประท้วงและทำลายด้านนอกของสถานทูตสหรัฐในกรุงแบกแดด เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สหรัฐมีปฏิบัติโจมตีทางอากาศต่อที่มั่นในอิรักและซีเรียที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายที่ได้รับการหนุนหลังจากอิหร่าน และคาดว่าการปลิดชีพนายพลคนดังของอิหร่านรายนี้ จะยิ่งทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้น