posttoday

จับตาสถานทูตสายเหยี่ยว เมื่อจีนไม่เกรงใจอีกต่อไป

05 กันยายน 2564

แต่ไรมาสถานทูตจีนไม่ว่าที่ไหนๆ มักจะสงวนท่าทีไม่ออกปากต่อว่า ไม่บ่น ไม่เล่น และไม่ทำงานเชิงรุก แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว สถานทูตจีนในไทยก็เช่นกัน

เมื่อวันที่ 3 กันยายน สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยทำสิ่งที่นานๆ ครั้งจะทำ (หรืออาจเรียกว่าเป็นครั้งแรกก็ได้) นั่นคือมีแถลงการตอบโต้ "การด้อยค่า" วัคซีนของจีน

เนื้อหาของแถงการณ์สามารถอ่านได้ที่เพจเฟซบุ๊คของสถานทูตหรือรายงานข่าวของโฟสต์ทูเดย์ ซึ่งเราจะไม่หยิบมาลงซ้ำ ณ ที่นี้มากเกินไป เพราะคนจำนวนมากคงได้เห็นแล้ว เพียงแต่จะหยิบตอนที่สำคัญมาให้อ่านอีกครั้ง

ทางจีนบอกด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวว่า "เมื่อเร็ว ๆ นี้ บางคนและบางองค์การของประเทศไทยได้ด้อยค่าและใส่ร้ายวัคซีนจีนโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ ซึ่งเป็นการกล่าวหามุ่งร้ายที่ไม่เคารพข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง และเป็นการทำร้ายความหวังดีของฝ่ายจีนในการสนับสนุนประชาชนไทยต่อสู้กับโรคระบาด สถานทูตจีนจึงขอคัดค้านอย่างเด็ดขาด และเรียกร้องให้บุคคลและองค์การที่เกี่ยวข้องยุติการกระทำผิดอย่างร้ายแรงเช่นนี้"

สิ่งที่เราจะวิเคราะห์กันคือท่าทีของจีนที่ที่ "โหด" ขึ้นเรื่อยๆ และไทยคือประเทศล่าสุดที่จีนแสดงอาหารขึงขังใส่ (เฉพาะบางคนบางกลุ่ม)

หากติดตามความเคลื่อนไหวด้านการทูต/การต่างประเทศของจีนในช่วงไม่กี่เดือนมานี้เราจะเห็นท่าที "สายเหยี่ยว" คือท่าทีพุ่งโจมตีแบบไม่ปราณีของจีนบ่อยครั้ง แต่เราจะพบเฉพาะท่าทีแข็งๆ แบบนี้กับชาติตะวันตกมากกว่า ประเทศที่เจอจีนออกแถลงการณ์ "ติติง" แบบนี้บ่อยทีสุดคือสหรัฐ

กรณีของสหรัฐเราเข้าใจได้ไม่ยากว่าเพราะทั้งสองประเทศแสดงจุดยืนเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเต็มตัวแล้ว ดังนั้นไม่ต้องอ้อมค้อมอีกหากอีกฝ่ายแรงมา อีกฝ่ายก็ต้องแรงไป

แต่นอกจากสหรัฐกับพันธมิตรของสหรัฐที่สถานทูตจีนตอบโต้ด้วยบ่อยๆ ความรุนแรงขั้นอยู่กับว่าขัดแย้งกันหนักแค่ไหน ทูตและสถานทูตที่มีเรื่องบ่อยแรงและแรงก็เช่นที่ออสเตรเลีย

สถานทูตจีนบางแห่งยังเริ่มมีวิวาทะกับเรื่องจิปาถะ เช่น ในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ทวิตเตอร์ของสถานทูตจีนในศรีลังกาบ่นว่าสื่อตะวันตก (เอ่ยถึง Reuters โดยตรง ) เลือกใช้ภาพของนักกีฬาจีนที่ดูน่าเกลียด (ugly) และบอกว่า "อย่านำเอาการเมืองและอุดมการณ์มาไว้เหนือกีฬา และเรียกตัวเองว่าองค์กรสื่อที่เป็นกลาง มันไร้ยางอาย"

เรื่องจิปาถะเช่นนี้มันเล็กน้อยเพราะหากติดตามภาพข่าวกีฬาย่อมทราบว่าภาพข่าวส่วนใหญ่มักเน้นอิริยาบถที่หวือหวาของนักกีฬาด้วยกันทั้งนั้น) และยังไม่อาจยืนยันได้ว่าสื่อตั้งใจทำแบบนั้นหรือไม่

การที่สถานทูตลงมาเต้นกับเรื่องนี้นับว่าไม่งาม ผลก็คือเมื่อข่าวนี้ไปถึงสื่อตะวันตกจริงๆ ที่มีอคติต่อจีนจริงๆ (ไม่ใช่เอเจนซี่ที่ขายข่าวและภาพอย่าง Reuters) มันถูกรายงานเป็นเรื่องขบขันไป

ย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคม สถานทูตจีนในญี่ปุ่นไม่รู้เพราะมือลั่นหรือเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทวีตมีมเป็นภาพการ์ตูนมัจจุราชที่สวมธงชาติอเมริกันและถือเคียวเกี่ยววิญญาณพร้อมกับธงชาติอิสราเอล เดินเคาะประตูและทิ้งรอยเปื้อนเลือดไว้ข้างหลัง บานประตูแต่ละหลังมีชื่อประเทศอัฟกานิสถาน ปากีสถาน อิรัก ลิเบีย ซีเรีย และอียิปต์

ทวีตในภาษาญี่ปุ่นเป็นแคปชั่นประกอบภาพกล่าวว่า “หากสหรัฐนำ 'ประชาธิปไตย' มา มันก็จะเป็นแบบนี้”

ปรากฎว่าทูตอิสราเอลประจำญี่ปุ่นติดต่อไปยังทูตจีนประจำญี่ปุ่น ทูตจีนบอกว่ามองไม่เห็นธงอิสราเอลในภาพ ต่อมาเรื่องไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลที่ต้องต่อสายไปถึงสถานทูตจีนในอิสราเอลเพื่อบอกกล่าวเรื่องนี้ ในเวลา 1 ชั่วโมงหลังจากนั้นทวีตนี้ก็ถูกลบไป

นอกจากอิสราเอลจะไม่พอใจแล้วชาวเน็ตญี่ปุ่นก็ยังไม่พอใจด้วย บางคนโพสต์ภาพกรณีเทียนอันเหมินซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับทางการจีนเพื่อตอบโต้กรณีนี้

เราจะเห็นได้ว่าสถานทูตจีนไม่ได้ใช้ยุทธวิธี "นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว" เหมือนแต่ก่อน แต่ออกมาทำงานเชิงรุก ซึ่งรุกกันจริงๆ จนดูจะแข็งกร้าว บางกรณีเหมือนจะยังกร้าวผิดที่ผิดทางเหมือนที่เกิดขึ้นในศรีลังกาและญี่ปุ่น

ท่าทีแบบนี้มีขึ้นเพื่อตอบสนองคำประกาศของสีจิ้นผิงที่จะไม่ยอมให้ใครมา "บูลลี่" จีน เพราะนับวันจีนจะถูกบีบและท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ

บางคนอาจจะถามว่าทำไมจีนต้องเข็บแค้นกับเรื่องบูลลี่อะไรนี้ด้วย ต้องย้อนกลับไปเมื่อร้อยปีก่อนที่จีนถูกรุมขย้ำโดยชาติตะวันตกและญี่ปุ่นจนจีนถูกเย้ยว่าเป็นคนป่วยของเอเชีย ถูกเฉือนแผ่นดิน ปล้นชิงทรัพยากร เสียสิทธิภาพทางกฎหมาย คนจีนถูกดูถูก ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือแผลฝังใจที่ทำให้จีนต้องแข็งแกร่งขึ้นมาเพื่อที่จะไม่ถูกคนรังแกอีก

ดังนั้นไม่ใช่แค่สีจิ้นผิงที่จะไม่ยอมให้จีนถูกบูลลี่ คนจีนล้วนแต่ไม่ยอมให้ใครมาบูลลี่อีก นี่เป็นกระแสความคิดที่สอดคล้องกัน และทำให้เกิดกระแสชาตินิยมที่รุนแรงมากในจีน แรงมากขนาดที่ใครแสดงท่าทีวิจารณ์ประเทศตัวเองหรือการทำงานของรัฐบาลอาจถูก่าว่าไม่รักชาติเอาง่ายๆ

อย่างร้ายคือถูกประณามว่าเป็นคนทรยศชาติ

การแสดงพลังนี้จึงสะท้อนออกมาทุกครั้งที่จีนถูกชาติตะวันตก "แหย่" จีนไม่เจรจาพาทีอีก แต่ตอบทันทันควันโดยไม่รอช้า

ตัวอย่างประเทศที่แหย่หนวดมังกรคือลิทัวเนีย ที่เปิดทางให้ไต้หวันตั้งสำนักงานผู้แทนใหม่โดยใช้ชื่อว่า "ไต้หวัน" ไม่ใช่ "ไทเป" ซึ่งเป็นการท้าทายจีนโดยตรง เพราะประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนนั้นจะต้องไม่ยอมให้ไต้หวันใช้ชื่อไต้หวันเพราะเท่ากับรับว่าไต้หวันเป็นประเทศเอกราช ดังนั้นจึงละเทิดต่อหลักการจีนเดียว

แต่ลิทัวเนียไม่แยแสต่อจีน จีนจึงบอกไปว่าถ้าไม่ยอมก็เรียกทูตกลับไปเสียเลย นั่นคือไม่ต้องคบหากันอีก แล้วจีนก็จะเรียกทูตกลับไปด้วย

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนสิงหาคม แต่กว่าลิทัวเนียจะเรียกทูตที่ปักกิ่งกลับมาก็ปาเข้าไปวันที่ 3 กันยายน แถมยังบอกว่าเรียกมาเพื่อปรึกษา ไม่ได้เรียกกลับไปถาวรอย่างที่จีนออกปากไล่ ซึ่งจีนก็ไม่ได้ไล่เปล่าเพราะยังหยุดการค้ากับลิทัวเนียตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมด้วย

ขณะที่ลิทัวเนียแสดงอาการกล้าๆ กลัวๆ ปากก็บอกให้สหภาพยุโรปเลิกพึ่งพาจีนราวกับต้องการหาเพื่อน แน่นอนว่ายุโรปก็อยากจะลดการพึ่งพาจีน แต่ความจริงคือยุโรปต้องการเงินจีนด้วย เพราะหลายประเทศเศรษฐกิจแย่ บางแห่งรอดไม่ได้ไม่ใช่เพราะยุโรปช่วยกันเอง แต่เพราะจีนยื่นมือช่วยต่างหาก เช่น กรีซและอิตาลี

อิตาลีนั้นเพิ่งจะเปลี่ยนรัฐบาล รัฐบาลก่อนโอภาปราศรัยกับจีนโดยหวังพึ่งพากันเต็มที่ แต่รัฐบาลใหม่หันไปซบสหรัฐเพื่อต่อต้านอิทธิพลจีนกับรัสเซีย แน่นอนว่าการตัดสินใจนี้ย่อมสูญเงินจากจีนไปมากมายแน่นอน

สงครามเย็นใหม่ครั้งนี้ ยิ่งบีบให้แต่ละประเทศเลือกฝ่ายชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

จีนมองเห็นแนวโน้มนี้ จึงเลิกใช้ซอฟต์เพาเวอร์เพื่อใช้วัฒนธรรมจีนเป็นน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ใช้สงครามข่าวสารแบบตรงไปตรงมาและการโฆษณาชวนเชื่อแบบฮาร์ดคอร์ วัฒนธรรมป๊อปและไอดอลจีนที่กำลังเริ่มได้รับความนิยม ตอนนี้ถูกจัดระเบียบหมด พวกนี้ไม่ใช่อาวุธฝ่ายวัฒนธรรมที่จีนจะใช้กล่อมให้โลกเชื่อว่าจีนน่าคบหา

เพราะจีนจะแสดงให้เห็นว่าไม่เอาจีน ไม่คบจีน จีนไม่มีปัญหา จีนจะไม่เกรงใจใครหน้าไหน แม้ประเทศที่เคยเป็นมิตรกับจีนและจีนมองในแง่ดีมาตลอด หากแสดงอาการกระแทกกระทั้นกับจีนจีนก็จะไม่พูดดีๆ ด้วย

กรณีของไทยนั้นก็เช่นกัน วัคซีนจีนถูกดึงเข้ามาบนสนามการเมืองซึ่งเต็มไปด้วยปฏิบัติการไอโอเพื่อด้อยค่าและเลอค่าวัคซีนต่างๆ เป็นที่น่าอนาถใจ

ตั้งแต่ก่อนหน้าแถลงการณ์ของสถานทูตแล้วที่จีนมีปฏิกิริยาไม่ดีต่อไคนไทยบากลุ่มที่ด้อยค่า ด่าทอ ตั้งข้อสงสัยกับวัคซีน หากไม่เชื่อก็ลองไปเช็คตามโซเชียลมีเดียของจีนดูเถิด

คนจีนนั้นแต่ไรมามองไทยและคนไทยในแง่ดีแทบจะไม่มีที่ติ แต่ตอนนี้เริ่มสวนกลับมาขึ้นเมื่อคนไทยต่อว่าประเทศจีน ถ้อยคำแรงๆ ประเภท "จะไปช่วยทำไม?" เริ่มเห็นเจนตามากขึ้นในหมู่คนจีน

พูดได้เลยว่า ตอนนี้คนจีนตาสว่างเรื่องคนไทยมากแล้ว ตาสว่างเรื่องอะไรนั้นลองคิดกันเอาเอง

และแล้วก็มาถึงคิวของสถานทูตจีนในไทยที่ออกแอ็กชั่นเองหลังจากปล่อยให้ชาวเน็ตจีนตอบโต้ (ทางอ้อม) ชาวเน็ตไทยและนักการเมืองไทยฝ่ายต้านจีนมาพักใหญ่ๆ

จะว่าไปแล้วสถานทูตจีนค่อนข้างมีความอดทนพอสมควร เพราะคงจำจำกันได้ว่ามีขบวนประท้วงของไทยกลุ่มหนึ่งไปยื่นหนังสือต่อสถานทูตจีนเพื่อบอกกับจีนว่าวัคซีนของจีนนั้นไม่ประสิทธิภาพ การทำเช่นนี้เท่ากับลากรัฐบาลจีนมาประณามต่อหน้าบ้านของเขานั่นเอง ทั้งๆ ที่ควรจะไปไล่บี้เอากับคำสั่งมากกว่าคนขายหรือไม่?

เอาเข้าจริง ผู้เขียนเห็นว่ากระแสต่อต้าน Sinovac นั้นแรง แต่ทำไมกระแสต้าน Sinopharm ถึงแผ่วมาก? นั่นเป็นเพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่วัคซีนหรือไม่ แต่มันอยู่ใครสั่งวัคซีนเข้ามาต่างหาก คนที่สั่งนั่นแหละคือเป้าหมายของการโจมตี เพียงแต่กระแสประท้วงในไทยนั้นมักจะ "เป๋" จนไม่รู้ทิศทางว่าควรจะไล่ใครหรือต่อว่าใครกันแน่

เรื่องวัคซีนนั้นมองเห็นเรื่องช่วยเหลือกันฉันมิตรก็ได้ มองเป็นการดีลทางธุรกิจก็ได้ เพราะหากไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีย่อมจะได้มาซึ่งวัคซีนจากจีนในปริมาณขนาดนี้ได้ยาก เพียงแต่มันก็ยังเป็นของซื้อของขาย และยังเป็นของซื้อของขายที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดด้วยในเรื่องราคา ส่วนต่าง และประสิทธิภาพ

การเมืองไทยในเวลานี้เต็มไปด้วยความคลุมเครืออย่างที่สุด ทั้งท่าทีคลุมเครือ ข่าวปลอมที่สร้างความคลุมเครือ และปฏิบัติการไอโอและการโฆษณาชวนเชื่อด้วยข้อมูลคลุมเครือ

ความที่มันคลุมเครือตั้งแต่ระดับรัฐบาลไทยแล้ว สถานทูตจีนไม่ควรจะเอาตัวมาแลกสถานการณ์ที่วุ่นวายแบบนี้เลย มันยิ่งทำให้เรื่องวุ่นวายเข้าไปอีก และเป็นการดึงประเทศจีนเข้าสู่วังวนการเมืองไทยแบบเต็มตัว

ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะจีนไม่อาจใช้ยุทธวิธี "นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว" ได้อีกนั้นเอง ทำให้ต้องเอาตัวเข้าแลกเต็มๆ แบบนี้ ผลของมันนั้นจะสะเทือนไปถึงความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศอย่างหลีกลี่ยงไม่ได้ 

ป.ล.

จากกรณีแถลงการณ์ของสถานทูตจีน ทำให้เห็นว่าบางคนใช้คำว่า "มณฑลไท่กั๋ว" เพื่อด้อยค่าประเทศตัวเองราวกับประเทศไทย (ไท่กั๋ว ในภาษาจีน) สยบยอมต่อจีนประหนึ่งเป็นมณฑลของจีน การด้อยค่าประเทศตัวเองแบบนี้ล้วนแต่มาจากความชิงชังต่อรัฐบาล เพียงแต่พวกเขาไม่รู้จักแยกแยะรัฐบาลไทยออกจากประเทศไทย

ใน "ไท๋กั๋ว" มีทั้งคนที่ต่อต้านจีน สนับสนุนจีน เฉยๆ กับจีน รักไทยไม่จีน รักจีนพอๆ กับไทย ฯลฯ ความหลากหลายแบบนี้จึงเท่ากับว่าไทยไม่ได้เป็นลูกไล่จีน แม้รัฐบาลเองก็ต้องพยายามรักษาผลประโยชน์ของชาติให้มากที่สุด เพียงแต่หากบางคนต้องการจะระบายความคับข้องใจต่อจีนแล้ว ควรจะลงกับรัฐบาลแทนที่จะลงกับประเทศทั้งประเทศ

หากคิดว่ารัฐบาลไทยทำตามจีนโดยไม่อิดออดก็ควรจะเรียก "รัฐบาลจิ้มก้อง" เสียดีกว่า เพียงแต่การเรียกแบบนี้รวมถึงการใช้คำว่า "มณฑลไท่กั๋ว" ล้วนแต่เป็นแค่เรื่องด่าสนุกปากที่หาหลักฐานมารองรับคำต่อว่านี้ไม่ได้

โดย กรกิจ ดิษฐาน

Photo by Alexander NEMENOV / AFP