"ดร.อธิป" มองอนาคต AI ไทย ชี้ ต้องกล้าลงทุน สร้าง AI ของตนเอง

27 มีนาคม 2568

ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย มองอนาคต AI ไทย ชี้ โอกาสมี แต่ต้องเร่งเครื่อง กล้าลงทุนไปกับทักษะแรงงาน สร้าง AI ของตนเอง

ในงานสัมมนา "กรุงเทพธุรกิจ AI Revolution 2025 : A New Paradigm of New World Economic" ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรม สยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ วันที่ 27 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น.

 

ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ความท้าทาย และโอกาสของไทย

 

ในการก้าวสู่ยุค AI อย่างเต็มรูปแบบไว้ในช่วง AI & Digital Talent: Building Future-Ready Thai Entrepreneurs 

 

\"ดร.อธิป\" มองอนาคต AI ไทย ชี้ ต้องกล้าลงทุน สร้าง AI ของตนเอง

 

ดร.อธิปเริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่า การใช้ AI ในประเทศไทยนั้นแพร่หลายในระดับบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นประจำ

 

"ถ้าถามว่าใครเคยใช้ AI บ้าง หรือใครไม่เคยใช้ ผมคิดว่าเกือบทุกคนที่อยู่บนโลกออนไลน์เคยใช้ AI" ดร.อธิปกล่าว พร้อมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น

 

ระบบโฟกัสภาพบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างสมาร์ทโฟน ซึ่งเบื้องหลังการทำงานก็คือ AI

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกลงไปในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการนำ AI มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานอย่างจริงจังนั้น ดร.อธิปมองว่า "การใช้แบบจริงจังอาจจะยังมีน้อยอยู่"

 

แม้ว่าบริษัทขนาดใหญ่อาจมีการลงทุนในเทคโนโลยี AI อย่างเต็มที่ แต่สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SMEs การใช้ AI ยังคงจำกัดอยู่เพียงผิวเผิน

 

หรือเป็นการใช้เครื่องมือ AI ที่มาพร้อมกับซอฟต์แวร์สำนักงานต่างๆ โดยที่ผู้ใช้อาจไม่ทราบด้วยซ้ำว่ากำลังใช้เทคโนโลยี AI อยู่

\"ดร.อธิป\" มองอนาคต AI ไทย ชี้ ต้องกล้าลงทุน สร้าง AI ของตนเอง

ช่องว่างทักษะและการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

 

ประเด็นสำคัญที่ดร.อธิปเน้นย้ำคือ ช่องว่างด้านทักษะในการพัฒนาและสร้าง AI ของคนไทย เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน

 

"ตัวเลขที่น่าตกใจคือ คนไทย 100 คน เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้เพียง 1 คน" ดร.อธิปกล่าวเปรียบเทียบกับมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วนผู้ที่เขียนโปรแกรมได้สูงถึง 16%

 

นอกจากนี้ ดร.อธิปยังชี้ให้เห็นถึงสัดส่วนผู้ที่จบการศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ในประเทศไทยที่ยังต่ำกว่าหลายประเทศ

 

ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างบุคลากรด้าน AI "ประเทศไทยมีนักศึกษาปริญญาตรีที่เรียน STEM ประมาณไม่ถึง 20% ในขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ประมาณ 50%"

 

จากข้อจำกัดด้านทักษะนี้เอง ทำให้ประเทศไทยยังคงอยู่ในสภาวะของการเป็น "ผู้ซื้อ" เทคโนโลยี AI จากต่างประเทศมากกว่าที่จะเป็น "ผู้สร้าง" เอง

 

"พวกเราอยู่ในมายด์เซ็ตว่าเราจะซื้อ AI ของโลกมาใช้ได้อย่างไร แต่ถ้าเราไปที่มาเลเซีย สิงคโปร์ หรือเวียดนาม เขาจะคิดอีกมุมหนึ่งว่าเขาจะมาสร้าง AI ได้อย่างไร" ดร.อธิปกล่าว

 

โอกาสและความหวัง: เปลี่ยน Mindset สู่การเป็นผู้ผลิต AI

 

อย่างไรก็ตาม ดร.อธิปยังคงมองเห็นโอกาสและความหวังในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ สิ่งสำคัญคือการปรับเปลี่ยน "Mindset" ของคนไทยและภาครัฐ จากการเป็นเพียงผู้ใช้ ไปสู่การเป็นผู้สร้างเทคโนโลยี AI ด้วยตนเอง

 

ดร.อธิปยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่น่าสนใจจากประเทศอินเดีย ซึ่งเดิมทีก็เคยถูกมองว่าเป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยี แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของผู้นำ ทำให้เกิดการลงทุนและพัฒนา AI ของตนเองขึ้นมาได้

 

ดร.อธิปเสนอแนะว่า ประเทศไทยควรเริ่มวางแผนและทุ่มงบประมาณในการพัฒนาบุคลากรด้าน AI อย่างจริงจัง ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อสร้าง "คนที่จะมาสร้าง AI" ของเราเองในอนาคตอันใกล้

\"ดร.อธิป\" มองอนาคต AI ไทย ชี้ ต้องกล้าลงทุน สร้าง AI ของตนเอง

 

 

ใช้ AI อย่างชาญฉลาด เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง

สำหรับผู้ประกอบการไทย ดร.อธิปแนะนำให้จับตาและเรียนรู้เทคโนโลยี AI อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

"ตอนนี้ไม่มีทางเลือก พอเขาผลิตมาแล้ว เราต้อง Adopt แล้วใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด"

 

ดร.อธิปยังเตือนให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในองค์กร เนื่องจากการนำ AI มาใช้อาจส่งผลให้เกิดการปรับลดจำนวนพนักงานในบางตำแหน่ง

 

อย่างไรก็ตาม ดร.อธิปมองว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์ทั้งหมด แต่จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมศักยภาพของบุคลากรที่มีอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่มีความสามารถ "คนที่ใช้ AI เก่งที่สุด คือคนที่เก่งอยู่แล้ว"

 

ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของพนักงานให้สามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

Thailand Web Stat