AOT ยกระดับสนามบินอัจฉริยะ ผสาน AI ตรวจพาสปอร์ต เซฟเวลาผู้โดยสาร

ภายในงานสัมมนา "กรุงเทพธุรกิจ AI Revolution 2025 : A New Paradigm of New World Economic" ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรม สยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ วันที่ 27 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น.

 

คุณวรวุฒิ แสนทวีสุข ฝ่ายพัฒนาดิจิทัลโซลูชั่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้เผยถึงแนวทางการนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI)

 

มาพลิกโฉมประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสารในสนามบิน เพื่อรองรับเทรนด์ใหม่ๆ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล

 

ในฐานะผู้ให้บริการสนามบินหลักของประเทศ AOT มีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับการให้บริการ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการ

 

การนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้จึงเป็นหัวใจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ AI เพื่อลดความซับซ้อนและระยะเวลาในการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ภายในสนามบิน

 

 

 สู่ "การเดินทางไร้รอยต่อ" ด้วยพลัง AI

 

คุณวรวุฒิ อธิบายว่า ปัจจุบันการเดินทางในสนามบินเต็มไปด้วยขั้นตอนมากมาย ตั้งแต่การเช็คอิน การผ่านจุดตรวจรักษาความปลอดภัย การตรวจคนเข้าเมือง ไปจนถึงการขึ้นเครื่อง 

 

ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีกระบวนการและระยะเวลาที่แตกต่างกัน ความท้าทายของ AOT คือการเชื่อมโยงแต่ละขั้นตอนให้เป็นระบบเดียวกันอย่างไร้รอยต่อ และลดระยะเวลาในการดำเนินการให้รวดเร็วขึ้น

 

"สมการง่ายๆ ของเราคือ ทำอย่างไรให้คนที่มาใช้งานสนามบินใช้เวลาอยู่ในสนามบินนานขึ้น และมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขารู้สึกมีความสุขกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่นี้" 

 

AOT จึงได้นำ AI เข้ามาช่วยในการจัดการข้อมูลและกระบวนการต่างๆ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ยกตัวอย่างเช่น

 

เมื่อผู้โดยสารเดินทางมาถึงสนามบิน ระบบจะทำการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ผ่านการสแกนใบหน้า

 

ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้ในการยืนยันตัวตนในขั้นตอนต่างๆ โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องแสดงเอกสารซ้ำซ้อนในทุกจุด

เทคโนโลยีสแกนใบหน้า ยกระดับความสะดวก

 

หนึ่งในเทคโนโลยีที่โดดเด่นคือระบบสแกนใบหน้า (Facial Recognition) ซึ่งจะถูกนำมาใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการเช็คอิน การผ่านจุดตรวจรักษาความปลอดภัย ไปจนถึงประตูขึ้นเครื่อง

 

เมื่อระบบจดจำใบหน้าของผู้โดยสารได้แล้ว ก็จะสามารถเดินทางผ่านขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย

 

นอกจากนี้ AOT ยังได้พัฒนาระบบ AI ที่สามารถตรวจสอบพาสปอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นพาสปอร์ตที่มีชิปอิเล็กทรอนิกส์ หรือพาสปอร์ตแบบกระดาษที่ไม่มีชิป

 

โดยระบบจะทำการสแกนและวิเคราะห์ข้อมูลในหน้าพาสปอร์ต เพื่อตรวจสอบว่าเป็นพาสปอร์ตที่แท้จริงและถูกกฎหมาย

 

รวมถึงตรวจสอบข้อมูลจากบัญชีรายชื่อผู้ต้องสงสัย (Blacklist) ของหน่วยงานตำรวจและตรวจคนเข้าเมือง

 

AI ในระบบ Lost and Found เพิ่มประสิทธิภาพการบริการ

 

อีกหนึ่งตัวอย่างของการนำ AI มาใช้คือระบบจัดการทรัพย์สินสูญหาย (Lost and Found) แบบใหม่ เมื่อผู้โดยสารแจ้งสิ่งของสูญหาย

 

เจ้าหน้าที่จะบันทึกรายละเอียดและรูปภาพของสิ่งของนั้น ระบบ AI จะทำการเปรียบเทียบข้อมูลกับสิ่งของที่ถูกเก็บได้

 

ทำให้สามารถค้นหาสิ่งของที่ตรงกับคำอธิบายของผู้โดยสารได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่และเพิ่มความสะดวกให้กับผู้โดยสาร

 

การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและรวดเร็วในการเดินทาง แต่ AOT ยังมีเป้าหมายสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของสนามบินในการรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้น

 

ปัจจุบัน สนามบินสุวรรณภูมิมีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารประมาณ 60 ล้านคนต่อปี และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขีดความสามารถเป็น 100 ล้านคนภายในปี 2568 โดยยังคงใช้พื้นที่เท่าเดิม การนำ AI มาช่วยลดระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

 

เตรียมความพร้อมบุคลากร รับมือยุค AI

 

นอกเหนือจากการนำเทคโนโลยีมาใช้แล้ว AOT ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจและสามารถใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยน "Mindset" ของพนักงานให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและมองเห็นโอกาสในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน

 

AOT ได้จัดตั้งหน่วยงาน Innovation ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อทำหน้าที่ทดลองและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้จริง รวมถึงสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาภายในองค์กร

 

เพื่อให้พนักงานทุกระดับสามารถนำ AI มาผสมผสานกับการทำงานได้อย่างลงตัว และสร้างคุณค่าให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน