BMW 3 Hybrid นี่แหละร่างทรง M3
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าค่ายรถยนต์จากเยอรมนีอย่างบีเอ็มดับเบิลยู จะสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดรถยนต์เมืองไทย ด้วยการเปิดตัวรถบีเอ็มฯ เครื่องยนต์ไฮบริด 3 โมเดล 8 รุ่นรวด และทั้ง 3 โมเดล 8 รุ่นนี้ เป็นรถยนต์นำเข้า หรือ CBU ทั้งหมดเสียด้วย
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าค่ายรถยนต์จากเยอรมนีอย่างบีเอ็มดับเบิลยู จะสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดรถยนต์เมืองไทย ด้วยการเปิดตัวรถบีเอ็มฯ เครื่องยนต์ไฮบริด 3 โมเดล 8 รุ่นรวด และทั้ง 3 โมเดล 8 รุ่นนี้ เป็นรถยนต์นำเข้า หรือ CBU ทั้งหมดเสียด้วย
และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ลองขับบีเอ็มฯ เทคโนโลยีไฮบริด ที่มีชื่อทางการว่า BMW ActiveHybrid แล้ว ที่สนามแข่งรถแก่งกระจาน เซอร์กิตในเวลาเพียงสั้นๆ แต่ก็พอจะเห็นถึงจุดเด่นของ BMW ActiveHybrid ได้พอสมควร
สำหรับ BMW ActiveHybrid 3 โมเดล ที่ทางบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย นำเข้ามาจำหน่ายนั้น มีครบทุกซีรีส์ในกลุ่มรถยนต์นั่ง นั่นคือ ซีรีส์ 3, 5 และ 7
แต่ทุกโมเดลใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันทั้งหมด นั่นคือเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ 6 สูบ ซึ่งเครื่องยนต์ดังกล่าวได้รับรางวัล Engine of the Year ด้วย
หากจะว่าไปแล้ว ความเป็นไฮบริดของบีเอ็มฯ นั้น ก็อย่างที่บอกครับว่า คือ ActiveHybrid นั่นหมายความว่า เครื่องไฮบริดของบีเอ็มฯ จะเน้นในเรื่องของสมรรถนะในการขับขี่เป็นหลัก
เห็นได้จากพละกำลังของเครื่องยนต์ไฮบริดตัวนี้ ที่ให้แรงม้าสูงถึง 340 แรงม้า ส่วนแรงบิดก็สูงถึง 450 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,200-5,000 รอบต่อนาที
ว้าวววว...กำลังเครื่องยนต์ขนาดนี้ ต้องบอกว่าเข้าไปใกล้ซูเปอร์คาร์แล้วครับ และด้วยแรงม้ามากกว่า 300 แรงม้าเช่นนี้ ก็เกือบจะเทียบเคียงกับชุดแต่ง M ของบีเอ็มฯ แล้ว โดย M3 ในโมเดล E46 หรือในโมเดลที่แล้ว ที่มีแรงม้า 348 แรงม้าครับ
ลองขับกันเลยดีกว่าว่าเครื่องไฮบริดตัวนี้ เป็นอย่างไร
รุ่นที่ผมขับ คือ BMW ActiveHybrid 3 ซึ่งภายนอกก็ไม่ต่างจากซีรีส์ 3 เครื่องยนต์เบนซินเท่าไหร่ จะมีตัวอักษร Hybrid ติดอยู่ที่ด้านท้ายของรถและเสาซีของตัวรถ ให้รู้ว่ารถคันนี้มีหัวใจไฮบริด แต่ถ้าเป็นรุ่นชุดแต่ง M ละก็ หล่อขึ้นเพียบครับ
ระบบไฮบริดของบีเอ็มฯ เป็นไฮบริดแบบเต็มรูปแบบนะครับ คือ มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ ตั้งแต่สตาร์ตด้วยระบบไฟฟ้า เมื่อรถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วต่ำจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยเจ้าบีเอ็มฯ ไฮบริด นี้สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. เป็นระยะทางประมาณ 4 กม.
นอกจากนี้ มอเตอร์ไฟฟ้ายังมาช่วยเครื่องยนต์เวลาเร่งแซง ซึ่งเรียกว่า EBoost อีกด้วย แถมหากวิ่งในความเร็วคงที่ตั้งแต่ความเร็วในระดับ 60150 กม./ชม. เครื่องยนต์จะหยุดทำงานและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเพื่อความประหยัด
ทันทีที่ผมกดปุ่มสตาร์ต แน่นอนครับว่าไม่ได้ยินเสียง หรือรู้สึกอะไรว่าเครื่องติดแล้ว ต้องสังเกตจากมาตรวัดบนหน้าปัดทั้งหลายเอาเอง เข้าเกียร์ D ปรับโหมดการขับขี่แรกเป็นโหมด Comfort ครับ ซึ่งรถบีเอ็มฯ ทุกรุ่นมีโหมดการขับขี่ให้เลือกครับ เริ่มตั้งแต่ Comfort Sport Sport+
ลองเหยียบคันเร่งดู ก็ได้เจอกับอัตราเร่งที่เหนือความคาดหมายมากเหลือเกิน ไม่เหมือนกำลังขับรถไฮบริดครับ แต่เหมือนกับกำลังขับรถซูเปอร์คาร์มากกว่า เรียกว่าแตะคันเร่งหลังเป็นติดเบาะครับ ทั้งในช่วงของความเร็วต่ำและความเร็วสูง ก็หลังจะไม่ติดเบาะได้ยังไงครับ อัตราเร่งจาก 0100 กม./ชม. อยู่แค่ 5.3 วินาทีเท่านั้น แต่ผมไม่ได้จับเวลาหรอกครับ แค่มือจับพวงมาลัยให้มั่นๆ ก็แย่แล้ว
และหากปรับโหมดการขับเป็นโหมด Sport ยิ่งเป็นการเพิ่มกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ให้มากขึ้น คราวนี้ผมตกอยู่ในอาการ “Love” เครื่องไฮบริดของบีเอ็มฯ ไปแล้วครับ ขับมันมากกกกก ความเร็วสูงสุดตามสเป็กอยู่ที่ 250 กม./ชม. แต่ขับไม่ถึงหรอกครับ ในสนามอย่างนี้ คร่าวๆ น่าจะอยู่ระดับ 120140 กม./ชม.เท่านั้น แค่นี้ก็เหงื่อเหนียวมือแล้ว
ผมไม่มีข้อกังขาในเรื่องของพละกำลังเครื่องยนต์ แซงรถทุกคันที่อยู่บนถนนได้แน่ๆ
หันมาดูในเรื่องของการควบคุมกันบ้าง เริ่มตั้งแต่พวงมาลัย ที่บอกเลยครับแม่นมาก เข้าโค้งแบบเป๊ะเวอร์ แต่น้ำหนักพวงมาลัยค่อนข้างเบา ซึ่งส่วนตัวแล้วผมว่าเบาไปหน่อย แต่ถ้าเป็นเป็นสาวๆ ละก็ชอบแน่ เพราะขับง่ายขึ้นเยอะ
ส่วนช่วงล่างนั้น น่าแปลกใจที่ไม่ได้ถูกเซตมาให้รับกับเครื่องยนต์ที่แรงขนาดนี้ เลยทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยหนึบเท่าที่ควรเมื่อใช้ความเร็วสูง และเข้าโค้งหนักๆ แม้ว่าจะปรับโหมดเป็นโหมด Sport แล้วก็ตาม ถ้าถามว่าเอาอยู่หรือเปล่า ต้องบอกว่าเอาอยู่ครับ แต่ต้องอาศัยทักษะอยู่พอสมควร
แต่หากเป็นการใช้งานในชีวิตประจำวันก็ไม่มีปัญหา แถมยังออก “นิ่มๆ” เกินไปเสียด้วย
นอกจากนี้ เจ้า ActiveHybrid 3 นี้ยังมีรุ่นแต่ง M Sport มาเป็นตัวเลือกด้วยนะครับ คือ มีทั้งชุดแอร์โรพาร์ต สไตล์ M พวงมาลัย M เบาะนั่งแบบสปอร์ตและสีพิเศษ ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว (รุ่นปกติล้อขนาด 18 นิ้ว) และที่สำคัญมีโหมดการขับขี่แบบ M Adaptive ซึ่งจะช่วยปรับให้ช่วงล่าง โช้กอัพแข็งมากขึ้น และแน่นอนว่า ทำให้หนึบมากขึ้นครับ แต่ก็ต้องเพิ่มเงินอีกแสนกว่าบาท
น่าเสียดายที่ผมยังไม่มีโอกาสได้ขับตัว M Sport เลยไม่รู้ความแตกต่างระหว่างช่วงล่างของรุ่นธรรมดากับรุ่น M ว่าต่างกันมากแค่ไหน ขอติดไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะครับ
สรุปกันเลยดีกว่า BMW ActiveHybrid 3 คือ บีเอ็มฯ ซีรีส์ 3 ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยเรื่องของพละกำลัง หรือพูดแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ มีเทอร์โบที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้ามาช่วยอีกตัว แถมยังมาช่วยในเรื่องของความประหยัดอีกด้วย ซึ่งหากเป็นการใช้งานในแบบปกติตามสเปก บอกว่าอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 16.7 กม./ลิตร ครับ
สนนราคา 4.199 ล้านบาท สำหรับรุ่น BMW ActiveHybrid 3 และ 4.399 ล้านบาท กับรุ่น BMW ActiveHybrid 3 M Sport (มีแต่ชุดแต่งรอบคันกับพวงมาลัย M) และ 4.499 ล้านบาท สำหรับ BMW ActiveHybrid 3 M Sport ล้ออัลลอย 19 นิ้ว พร้อมโหมดการขับแบบ Adaptive M Suspension
ถามว่าน่าสนมั้ย บอกได้เลยว่าน่าสนมากครับ เพราะราคาไม่ถึง 4.5 ล้านบาท แต่ได้รถสมรรถนะเดียวกับ BMW M3 ที่มีราคาค่าตัวไม่หนี 7 ล้านกว่าบาท แต่ได้ความประหยัดเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก
แล้วอย่างนี้ เศรษฐีเงินถัง รักความแรง แต่อยากแอบประหยัด ไม่มองได้งัย!!