posttoday

ข่าวกลบข่าว

12 กรกฎาคม 2556

โดย...เอกพิทยา เอี่ยมคงเอก / [email protected]

โดย...เอกพิทยา เอี่ยมคงเอก / [email protected]

การเมืองไทยเป็นสิ่งที่หลายท่านเมื่อพูดถึงก็พากันส่ายหน้า โดยเฉพาะในหมู่นักธุรกิจ ซึ่งต้องยอมรับว่านี่คือความจริง และเกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้ว จนมีคำพูดติดปากในหมู่นักธุรกิจว่า “นักการเมืองอยู่เฉยๆ ภาคเอกชนทำเอง” สิ่งที่เกิดขึ้นคงไม่ได้มองถึงประสิทธิภาพการทำงานของนักการเมือง แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในมุมมองของภาคเอกชน เมื่อมองถึงภาคการเมือง แต่สิ่งที่เราเห็นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะพบว่าการออกข่าวเพื่อกลบข่าว หรือการออกข่าวเพื่อกลบกระแสที่ไม่ต้องการให้ออก

แน่นอนว่า ในวงการเมืองกลยุทธ์ดังกล่าวน่าจะเป็นสิ่งที่ใช้มานานและใช้บ่อย โดยเฉพาะต้องการที่ไม่ให้ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นเวลานั้นเป็นข่าว แต่เมื่อเรามาดูในตลาดหุ้นบ้าง การเกิดข่าวในบางครั้งนักลงทุนต้องแยกแยะให้ออก เพราะการออกข่าวในแต่ละครั้ง ไม่ว่าต้นตอมาจากทิศทางไหน เหตุผลในการออกข่าวอาจจะมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการนำเสนอให้มวลชนส่วนใหญ่เชื่อว่า ข่าวดังกล่าวจะมีผลโดยตรงต่อสิ่งที่ทำให้เกิดภาพเช่นนั้น

ขยายความก็คือ กรณีท่านจำได้ในช่วงที่ SET INDEX ทำจุดสูงสุดไว้ที่ 1,650 ปัจจัยบวกถาโถมเข้ามามากมาย โดยเฉพาะปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นในหุ้นกลุ่ม ICT และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ การปรับประมาณการ SET INDEX เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งสิ่งที่ทุกคนไม่มีการมองไว้ล่วงหน้าก็คือ การหยุดการใช้มาตรการ QE ซึ่งอันที่จริงกรณีมีการมองให้ชัดเจนก็ต้องยอมรับว่า ไม่ได้มีอะไรที่ประหลาดใจ เพราะการหยุดใช้มาตรการก็ใกล้เคียงกับระยะเวลาที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่ามีข่าวอื่นๆ เข้ามากลบ จนทำให้นักลงทุนยังคงเชื่อว่าข่าวที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่เป็นความจริง

ณ ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งแน่นอนว่านักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนในช่วงเพียง 4-5 ปีนี้ นับตั้งแต่ปี 2009 จะพบภาวะในการขาดทุนในการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะการปรับฐานแบบจริงๆ จังๆ แทบไม่เกิดขึ้นเลยตลอดในช่วงระยะเวลาหลายปีนี้ อาจจะมีเพียงรอบนี้ที่รุนแรงหน่อย หลายท่านพยายามคิดว่า เราจะทำตัวอย่างไร? ประเด็นที่ต้องทำในเบื้องต้นก็คือ การใช้แนวคิดตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ผู้เขียนเพิ่งกลับจากการเดินทางไปญี่ปุ่น สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ก็คือ รายได้ของนักท่องเที่ยวที่ลดลง เนื่องจาก|นักท่องเที่ยวของจีนไม่เดินทางมาจากปัญหาข้อพิพาท การแก้เกมของรัฐญี่ปุ่นเกิดขึ้นและเป็นการตัดสินใจ และสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เช่น ประชาชนของไทยปกติต้องขอวีซ่าในการไปท่องเที่ยว ก็เปิดโอกาสโดยเดินทางที่ไม่ต้องขอวีซ่า จำนวนนักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ ก็เพิ่มมากขึ้น

เนื่องจากการได้รับความสะดวกสบาย นี่เป็นตัวอย่างของการมองด้วยตัวเอง การเริ่มที่ตัวเองในการแก้ไขปัญหา เพราะฉะนั้นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะปรับพอร์ตก็ต้องหันมาดูหุ้นในพอร์ตตัวเองว่ามีคุณภาพอย่างไร และมีการตัดสินในการแก้ไขพอร์ตนั่นก็คือ จุดเริ่มต้นที่ต้องทำ และความสำคัญนอกจากดูคุณภาพในหุ้นในพอร์ตแล้ว จังหวะในการตัดพอร์ต (ขาย) ต้องดูจังหวะตลาดหุ้นด้วย เพราะตลาดหุ้นไทยแม้เป็นขาลงในระยะสั้น แต่ในระยะกลาง-ยาวยังดี เพราะฉะนั้นแรงสู้จะเกิดขึ้นตลอดเวลา และอาจจะขึ้นแรงเมื่อมีข่าวในเชิงบวก เพราะต้องมีการชดเชยในเรื่องของอนุพันธ์ และการจัดพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน

สำหรับตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในขาลงอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งล่าสุดเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง มีการเฉลยออกมาตามคาดก็คือ หนึ่ง เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยเฉพาะจีนซึ่งถือว่าเป็นผู้นำในเอเชีย และเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ สอง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะมีอัตราเร่งจากปัญหาในประเทศอียิปต์ และปัจจัยทั้งหมดนี้ส่งผลมาถึงปัจจัยที่สาม คือ การปรับลดของ GDP และมองถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีหลังจะไม่ดีกว่าที่คาด ซึ่งก็จะส่งผลโดยตรงให้เกิดการปรับลดลงของเป้าหมาย SET INDEX ที่ลดลงด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ในระยะสัปดาห์ที่ผ่านมา SET INDEX มีการปรับตัวลดลง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะหวังให้ SET INDEX ลงอย่างรวดเร็วจนมีการตัดสินว่าจุดต่ำอยู่ที่จุดใด เพราะเคยนำเสนอว่าใช้จุดต่ำสุดที่ 1,338 เป็นแนวคิด โดยมี 2 เป้าหมายในระยะเดือน คือ 1,280-1,300 หรือ 1,350 กว่าๆ (1,350-1,380) ตัวแปรการสร้างจุดต่ำสุดครั้งนี้ ยังไม่น่าเกิดขึ้น|ในระยะสั้น เพราะเมื่อเห็น SET INDEX ลงไปต่ำกว่า 1,400 จุด มักจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา ทั้งความชัดเจนของโครงการขนาดใหญ่ยังไม่ชัด ซึ่งในมุมมองของนักวิเคราะห์น่าจะมองได้ว่า ยังไม่ได้เอาโครงการดังกล่าวมาร่วมกับ GDP เพราะฉะนั้น ณ ความเสี่ยงปัจจุบันเทียบกับ PE ตลาด จึงคิดว่ายังคงมีแรงซื้อ

กล่าวง่ายๆ ก็คือ กรณีไม่ได้มีความเสี่ยงเพิ่ม ระยะสั้นต่ำกว่า 1,400 จะมีแรงรับ จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจุดต่ำที่แท้จริงจะอยู่ที่เท่าไร และสิ่งที่น่าจะทำได้ในระยะสั้นก็คือ การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมัน จากเหตุผลในบทความสัปดาห์ก่อน นัยสำคัญระยะสั้นอยู่ที่กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีว่าจะมีการขึ้นหรือไม่ ซึ่งก็หมายถึงหุ้นในกลุ่มเหล่านี้จะอยู่ในข่ายของการเล่นเก็งกำไรในทันที กรณีที่ตลาดไม่หลุดตัวเลข 1,400 จุดในระยะสั้น?