นิยามของคำว่า บ้า

30 ตุลาคม 2556

คนที่ทำอะไรเหมือนเดิมซ้ำแล้ว ซ้ำอีก แต่คาดหวังผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป เรียกว่า “บ้า” (Insanity = Doing the something over and over again and expecting different results) นั่นคือ นิยามที่นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่าง Albert Einstein ให้ไว้ การเข้าใจความหมายของประโยคดังกล่าว ส่งผลอย่างมากในการดำเนินชีวิตให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

คนที่ทำอะไรเหมือนเดิมซ้ำแล้ว ซ้ำอีก แต่คาดหวังผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป เรียกว่า “บ้า” (Insanity = Doing the something over and over again and expecting different results) นั่นคือ นิยามที่นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่าง Albert Einstein ให้ไว้ การเข้าใจความหมายของประโยคดังกล่าว ส่งผลอย่างมากในการดำเนินชีวิตให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

เพราะเมื่อไหร่ที่เราต้องการให้ผลลัพธ์ที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในชีวิตส่วนตัว หรือการงานดีขึ้น เราต้องเปลี่ยนวิธีการหรือพฤติกรรม เพราะถ้าเรายังทำเหมือนเดิม ก็ย่อมได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราเป็นนักศึกษา เราอยากให้ผลการเรียนเราดีขึ้น เราก็ต้องปรับวิธีการเรียนรู้ ด้วยการอ่านหนังสือก่อนเข้าเรียน ตั้งใจเรียน และทำแบบฝึกหัดหลังจากเรียน

ถ้าเราอยากมีสุขภาพและรูปร่างที่ดี เราก็ต้องปรับปรุงการกินอาหารให้มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ถ้าหากเราอยากมีเงินมากขึ้น เราก็ต้องมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน มีวินัยในการใช้จ่าย รู้จักวิธีในการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงบนความเสี่ยงที่เรารับได้ ซึ่งหากเราคิดว่าเราจะทำทุกอย่างเหมือนเดิม กินเหมือนเดิม ใช้เหมือนเดิม แล้วคิดว่าจะรวยขึ้น ก็คงจะเป็นเรื่องยาก

แต่ว่าทั้งๆ ที่เรารู้ว่าการจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเราต้องทำอะไร แต่หลายครั้งเราก็ทำไม่ได้ เช่น ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าการรับประทานผักผลไม้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และควรลดอาหารประเภทไขมันลง แต่ทำไมหลายคนที่อยากลดน้ำหนักถึงทำไม่ได้ หรือทั้งๆ ที่รู้ว่าการออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาที จะมีผลดีต่อสุขภาพ แต่เราก็ทำไม่ได้ เพราะเข้าใจว่าการทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ต้องทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมนั้น ไม่เพียงพอต่อการทำให้คนเปลี่ยนแปลง

มีหลักการสำคัญที่ Stephen R Covey ผู้เขียนหนังสือที่โด่งดังตลอดกาลเรื่อง The 7 habits of highly effective people ได้กล่าวไว้ว่า การจะทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยน ไม่เพียงแค่เราต้องเปลี่ยนการกระทำ แต่เราต้องเปลี่ยนกรอบความคิด (Paradigm) ด้วย ดังนั้นเราสามารถอธิบายได้ว่า การที่เราไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าดีได้นั้น เป็นเพราะเรายังไม่มีแรงจูงใจที่จะทำให้เราหลุดจากกรอบความคิดเดิมๆ เพื่อมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเราเองได้

กล่าวโดยสรุป คือ การที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นนั้น ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ คือ

1.เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และสามารถจับต้องได้ เพราะการมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้เรากำหนดแผนหรือกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น เราตั้งเป้าหมายที่จะมีเงิน 1 ล้านบาทให้ได้ภายใน 5 ปี ก็ชัดเจนพอที่เราจะประเมินตัวเองได้ว่า ปัจจุบันเรามีรายได้เท่าไหร่ เราต้องเก็บออมเดือนละเท่าไหร่ เงินจำนวนนั้นเพียงพอที่ภายใน 5 ปี เราจะมีเงิน 1 ล้านบาทหรือไม่ ซึ่งถ้าลองทำออกมาแล้วเรามีเงินไม่พอ เราก็ต้องหารายได้เพิ่ม หรือออมเงินมากกว่าเดิม ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้มีโอกาสในการบรรลุเป้าหมายได้ ดังนั้นการมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง

2.เราต้องเชื่อมโยงเป้าหมายนั้นกับความฝันของเรา เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำตามแผน เพราะถ้าบอกว่าต้องเก็บเงินอย่างมีวินัยเป็นเวลา 5 ปี โดยไม่บอกว่าเงินนั้นสำคัญยังไงกับความฝันของเรา ก็มีแนวโน้มที่เราจะทำไม่ได้ตามแผนที่วางไว้มาก เพราะการเก็บเงินดังกล่าวต้องการการมีวินัยที่สูงมาก และมีสิ่งยั่วยุมากมายที่จะทำให้เราไม่ทำตามแผน ดังนั้นหากเราเชื่อมโยงว่าเราจะใช้เงิน 1 ล้านบาทนั้นในการแต่งงาน เพราะต้องใช้เป็นค่าสินสอด ค่าจัดงานแต่ง และเพียงพอสำหรับใช้ชีวิตคู่ เราก็จะมีแรงจูงใจและสามารถจัดลำดับความสำคัญของเงินได้ดียิ่งขึ้น เพราะการที่เราไม่ทำตามแผน จะทำให้ความฝันของเราเลื่อนออกไป

3.เราต้องรู้วิธีการในการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งถ้าเชื่อมโยงกับตัวอย่างที่กล่าวมา การรู้ว่าการวางแผนการเงินต้องทำอย่างไร เครื่องมือทางการเงินตัวไหนให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงที่คุ้มค่า และจังหวะในการจัดการเงินควรเป็นอย่างไร เราถึงจะสามารถบรรลุตามแผนที่วางไว้ได้

ถ้าเราสังเกตในชีวิตประจำวันของเราดีๆ การที่เราไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของเราหรือของคนรอบข้างเราได้ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หัวหน้า หรือลูกน้องเรา ก็เป็นเพราะขาดตัวใดตัวหนึ่งใน 3 เรื่องที่กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของแรงจูงใจ เพราะเป็นเรื่องที่มีอิทธิพลมากในการทำให้เราลุกขึ้นมาทำสิ่งใหม่ๆ

ดังนั้น คนบ้าอาจจะเป็นคนที่ทำอะไรเหมือนเดิมแล้ว คาดหวังผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป แต่คนที่ “บ้ากว่า” คือคนที่คิดว่าคนจะเปลี่ยนการกระทำทั้งๆ ที่คิดเหมือนเดิม ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว มาเลิกเป็นค

Thailand Web Stat