SCGหวั่นตลาดปูนไม่โตเหตุโครงการรัฐชะงัก
เอสซีจีปรับใหญ่รับวิกฤตการเมือง ขยับเพิ่มตลาดส่งออกอาเซียนทดแทนในประเทศ พร้อมหาโอกาสเข้าซื้อกิจการต่างประเทศ
เอสซีจีปรับใหญ่รับวิกฤตการเมือง ขยับเพิ่มตลาดส่งออกอาเซียนทดแทนในประเทศ พร้อมหาโอกาสเข้าซื้อกิจการต่างประเทศ
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัม ปูนซิเมนต์ไทย หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับแผนรับมือกับวิกฤต โดยเฉพาะจากปัญหาทางการเมืองในประเทศ ทำให้ต้องปรับแผนมาเน้นตลาดส่งออกต่างประเทศ มุ่งเน้นกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น
"เดิมทีตลาดส่งออกต่างประเทศวางแผนจะส่งออกลดลง เนื่องจากตลาดในประเทศมีการเติบโตมาก แต่จากผลกระทบทางการเมืองในช่วง เกือบ 3 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ปลายปีก่อน ทำให้บริษัทต้องปรับตัวหันไปเน้นส่งออกต่างประเทศมากขึ้น อย่างเช่น ปูนซีเมนต์ เดิมทีปีนี้จะลดการส่งลงเหลือ 3 ล้านตันต่อปี ก็คงที่การส่งออกปูนไว้ที่ 4 ล้านตันต่อปีเท่ากับปีก่อน รวมไปถึงหาช่องทางในการส่งออกในกลุ่มสินค้าประเภทอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเคมิคอลส์ " นายกานต์กล่าว
ทั้งนี้ ตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศปีที่ผ่านเติบโต 6% และเดิมคาดว่าปีนี้จะเติบโต 9% แต่จากวิกฤตการเมืองทำให้ต้องปรับลดเหลือ 7% และคาดว่าคงลดลงอีกอาจจะโตไม่ถึง 5% หรืออาจจะไม่มีการเติบโตก็เป็นได้ เนื่องจากการก่อสร้างโครงการจากภาครัฐจะไม่เกิดแน่ จากปีก่อนมีการเติบโตแค่ 2-3% เท่านั้น โดยปีที่ผ่านมาสัดส่วนการใช้ปูนซีเมนต์ในภาคที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 53% เติบโต 5-6% งานก่อสร้างภาครัฐสัดส่วนอยู่ที่ 30% และกลุ่มธุรกิจการค้า เช่น ศูนย์การค้า โรงงาน คลังสินค้า มีสัดส่วน 17% ซึ่งเติบโตสูงถึง 20% โดยกำลังการผลิตรวมปูนซีเมนต์รวมทั้งตลาด ปีก่อนอยู่ที่กว่า 50 ล้านตัน บริโภคในประเทศประมาณ 37-38 ล้านตัน ขณะที่ราคาปูนซีเมนต์นั้นขยับขึ้นได้น้อยและถือว่ามีราคาต่ำสุดแล้วเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
นอกจากนี้จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ กลับส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนพลังงานนั้นปรับเพิ่มสูงเป็น 7-8% หรืออาจจะถึง 10% ขณะที่กำไรที่จะได้จากภาคการส่งออกกลับลดลง ทำให้ต้องส่งออกเพิ่ม
สำหรับแผนการลงทุนในรอบ 5 ปี นับจากปี 2557-2561 นั้นจะใช้เงินลงทุนจำนวน 2.5 แสนล้านบาท โดยในปีนี้จะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท และจะเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้าไปซื้อกิจการในต่างประเทศด้วยซึ่งโอกาสการเข้าซื้อกิจการทั้งในประเทศ และกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย ขณะที่ในพม่าและกัมพูชาในยังไม่มีกิจการที่จะเข้าไปซื้อ มีแต่อาจจะไปลงทุนและส่งออกเข้าไปเพิ่ม และตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะสร้างยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯจะมุ่งวิจัยและพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2557 เตรียมงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาหรือ(R&D) ไว้กว่า 4,000ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาใช้งบประมาณอาร์แอนด์ดีอยู่ที่ 2,068 ล้านบาท ส่งผลให้สินค้า HVA หรือสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม คิดเป็นสัดส่วน 35%ของยอดขายรวมปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการขายอยู่ที่ กว่า 4.34 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%และ มีกำไร กว่า 3.67 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% จากปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้น