posttoday

แบงก์กรุงเทพหนุน ไทยฮับอาเซียน

11 สิงหาคม 2557

เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารกรุงเทพได้ขนทัพนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศที่เป็นลูกค้าของธนาคาร

เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารกรุงเทพได้ขนทัพนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศที่เป็นลูกค้าของธนาคารในเครือข่ายสาขาในต่างประเทศกว่า 100 ชีวิตมุ่งสู่พม่า นอกเหนือจากการเปิดช่องทางให้นักธุรกิจไทยและต่างประเทศได้สัมผัสกับผู้บริหารระดับนโยบายและนักธุรกิจชั้นนำในพม่าแล้ว “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ ยังได้เห็นถึงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) ในอาเซียน ที่มีทั้งพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม หรือซีแอลเอ็มวี ด้วยจำนวนประชากรที่มีรวมกันถึง 240 ล้านคน ไม่แพ้อินโดนีเซียที่มีประชากร 250 ล้านคน

ตัวอย่างที่ “กอบศักดิ์” ยกขึ้นมา คือ บริเวณชายแดนไทยพม่า บริเวณ อ.แม่สอด จ.ตาก รัฐบาลพม่าได้ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดีขึ้น พื้นที่ 460 ไร่ ที่มีอุตสาหกรรมก่อสร้างและการพาณิชย์ รวมทั้งศูนย์กระจายสินค้า ปรากฏว่าสินค้าที่ผลิตได้ในเขตเศรษฐกิจเมียวดีได้ใช้เส้นทาง แม่สอด จ.ตาก ขนส่งมาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ก่อนจะส่งออกไปสหรัฐ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น เพราะประหยัดเวลาถึง 3-4 วัน เทียบกับการขนส่งลงทางใต้ของพม่า

เมื่อดูจากสภาพภูมิศาสตร์ดังกล่าวแล้ว กอบศักดิ์ มีข้อเสนอให้รัฐบาลพัฒนาถนนเชื่อมระหว่าง จ.ตาก ที่จะไป อ.แม่สอด ที่ปัจจุบันมีสภาพคดเคี้ยวและลาดชันมาก เพราะตัดผ่านพื้นที่ที่เป็นภูเขา หากเป็นไปได้ รัฐควรสร้างถนนที่ตัดตรงและลดความลาดชันลง เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง ทำให้การขนส่งสินค้าจากพม่าเพื่อไปออกท่าเรือแหลมฉบังรวดเร็วขึ้น เช่นเดียวกับการขนส่งสินค้าจากไทยผ่านด่านแม่สอดเพื่อไปย่างกุ้ง ที่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค

นอกจากนี้ ถ้าเจาะจงเฉพาะกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีแล้ว ขณะนี้พม่ายังเป็นแรงดึงดูดใหญ่สำหรับการลงทุนจากทั่วโลก ด้วยจำนวนประชากรถึง 60 ล้านคน และอำนาจซื้อที่มีมากพอสมควร ทำให้นักลงทุนจากไทยไปปักธงอยู่มากมายในปัจจุบัน

กอบศักดิ์ ระบุว่า นักลงทุนต่างประเทศต่างก็ให้ความสนใจกับพม่ามากที่สุด อาจจะมากกว่าเวียดนามด้วยซ้ำ เห็นได้จากนักลงทุนที่ร่วมไปกับทริปของธนาคารกรุงเทพประมาณ 40 ราย ล้วนเป็นนักธุรกิจชั้นนำ โดยเป็นนักธุรกิจญี่ปุ่นมากที่สุด คือ 16 คน รองลงมาเป็นกลุ่มจีน ฮ่องกง และไต้หวัน รวม 8 คน

การเดินทางไปพม่าครั้งนี้ นอกจากจะมีการนำเสนอข้อมูลด้านกฎเกณฑ์การลงทุนจากผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานรัฐของพม่า ที่ระบุไว้ชัดเจนตอนหนึ่งว่า พม่าไม่ต้องการธุรกิจที่ไม่โปร่งใส เพราะได้เรียนรู้จากบางประเทศแล้ว และจะไม่ทำอะไรเสียหายเหมือนประเทศนั้นๆ

ขณะเดียวกัน นักธุรกิจที่ร่วมเดินทางไปครั้งนี้ยังได้พบกับนักธุรกิจชั้นนำของพม่า เช่น โรนัลด์ ลี เจ้าของซิตี้มาร์ท ผู้ค้าสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ในพม่า หรือ โมมินท์ เจ้าของธุรกิจพลังงานรายใหญ่ในพม่า ที่มีอนาคตใกล้เคียง ปตท. ฯลฯ

สำหรับช่องทางธุรกิจในพม่าที่น่าสนใจจากการเดินทางไปครั้งนี้ จะพบว่าธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป็นธุรกิจดาวรุ่งที่มีศักยภาพการเติบโต เห็นได้จากการที่ร้านอาหารจากไทยไปปักธงในพม่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ชาบูชิ ฟูจิ แบล็คแคนยอน พิซซ่า ฮัท

ขณะที่พื้นที่ก่อสร้างในเขตย่างกุ้งยังมีอีกราว 6 ล้านตารางฟุต โดยคาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มจะเติบโตได้อีก 5 ปี แต่ก็มีเสียงกระซิบเตือนว่า ใน 5 ปีนี้ จะหมดไปกับการขอใบอนุญาตไม่ต่ำกว่า 3 ปี

ส่วนเขตอุตสาหกรรมติละวาที่อยู่ห่างจากเมืองย่างกุ้งออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร ก็พร้อมจะเปิดตัวในอีก 1 ปีเศษข้างหน้า หรือปลายปี 2558 โดยมีญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านการลงทุนการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในพม่าที่เฟื่องฟูขึ้นมากได้ส่งผลให้ราคาที่ดินในกรุงย่างกุ้งพุ่งสูงขึ้นมาก แต่ไม่ถึงขั้นไม่ลุกลามจนเป็นปัญหาฟองสบู่ เนื่องจากการซื้อขายที่ดินในพม่ายังใช้เงินสดเป็นหลัก ขณะที่ทางการพม่ากำลังพยายามขยายเขตเมืองย่างกุ้งออกไปเพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ

ทั้งนี้ แม้พม่าจะเป็นดาวเด่นด้านการลงทุนในประเทศแถบนี้ แต่หากไทยที่ได้เปรียบด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นถนน ที่กำลังจะมีการสร้างเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมเส้นทาง รถไฟทางคู่ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุมัติโครงการแล้ว รวมทั้งหากมีการขยายสนามบินสุวรรณภูมิระยะที่ 2 การสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา เพื่อรองรับการขนส่งฝั่งอันดามันแล้ว

การที่ไทยจะเป็นฮับด้านการขนส่งสินค้าให้ประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่ไกลเกินเอื้อม