บทเรียนจากอดีตสู่มิติใหม่ กำกับสถาบันการเงิน (1)

09 สิงหาคม 2560

น.ส.ธัญลักษณ์ วิบูลย์ศรีสัจจะ & นายชัยวิชิต นำชัยสวัสดิ์วงศ์ & ฝ่ายประเมินความเสี่ยงและแบบจำลองสถาบันการเงิน & สายกำกับสถาบันการเงิน & ธนาคารแห่งประเทศไทย"หากการสะสมความเสี่ยงถือเป็นรากเหง้าของการเกิดวิกฤต การบริหารความเสี่ยง (RiskManagement) ก็ถือเป็นหัวใจของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน"

น.ส.ธัญลักษณ์ วิบูลย์ศรีสัจจะ & นายชัยวิชิต นำชัยสวัสดิ์วงศ์ & ฝ่ายประเมินความเสี่ยงและแบบจำลองสถาบันการเงิน & สายกำกับสถาบันการเงิน & ธนาคารแห่งประเทศไทย

"หากการสะสมความเสี่ยงถือเป็นรากเหง้าของการเกิดวิกฤต การบริหารความเสี่ยง (RiskManagement) ก็ถือเป็นหัวใจของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน"

คงไม่มีใครปฏิเสธว่าวิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกที่เกิดขึ้น นำมาซึ่งความเสียหายทางเศรษฐกิจที่มีความรุนแรงและส่งผลกระทบในวงกว้าง และแม้ว่าทั้งภาครัฐและเอกชนพยายามจะหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก

แต่วิกฤตการเงินก็ยังคงเกิดขึ้นได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก นั่นไม่ใช่เพราะผู้คนไม่เรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต แต่วิกฤตการเงินมักจะเกิดขึ้นในรูปแบบที่ต่างกันออกไป

นอกจากนี้ ประสบการณ์ในอดีตอาจทำให้ผู้คนคิดว่า ประเทศกำลังพัฒนามีความเสี่ยงมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว

แต่วิกฤตการเงินครั้งล่าสุดในปี 2008 ทำให้เห็นว่าวิกฤตการเงินสามารถเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีผลกระทบที่รุนแรงมากไม่แพ้กัน

และหากเราคิดทบทวนดูจะพบว่าสาเหตุของวิกฤตการเงินในแต่ละครั้งจะมีความคล้ายคลึงกันตรงที่เกือบทั้งหมดจะเกิดจาก

"ความเสี่ยงที่ได้มีการสะสมมาในช่วงก่อนหน้า โดยผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้ตระหนักว่าจะทำให้เกิดวิกฤตการเงิน"

ธปท. สถาบันการเงิน กับการบริหารความเสี่ยง

การยอมรับและสะสมความเสี่ยงถือเป็นธรรมชาติของการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน กล่าวคือ ในช่วงที่เศรษฐกิจดีสถาบันการเงินมักจะอนุมัติสินเชื่อจำนวนมาก และในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีสถาบันการเงินจะเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพราะผู้กู้มีความน่าเชื่อถือที่ลดลง หรือเรียกว่า "Procyclicality"

นอกจากนี้ การกำกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมที่เน้น "การปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้ (Compliance-based)" ก็มีส่วนซ้ำเติมการเป็น Procyclicality ของสถาบันการเงินในทางอ้อม

นั่นคือในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี หน่วยงานที่กำกับดูแลสถาบันการเงินจะไม่สนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อย สินเชื่อจำนวนมากโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงอย่างรัดกุม เพราะอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์มีฐานะเงินกองทุนเสื่อมลงตามคุณภาพของสินเชื่อ และอาจมีผลขาดทุนในช่วงวิกฤต ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจไม่มีสภาพคล่องในระบบ และย้อนกลับมาทำให้มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

หากการสะสมความเสี่ยงถือเป็นรากเหง้าของการเกิดวิกฤตการเงิน การบริหารความเสี่ยง (RiskManagement) ก็ถือเป็นหัวใจของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน

โดย ธปท.ได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการกำกับดูแลสถาบันการเงิน โดยมุ่งเน้นการกำกับแบบ Risk-based เพื่อให้มั่นใจว่าสถาบันการเงินมีระบบการบริหารและการควบคุมความเสี่ยงต่างๆ อย่างเพียงพอและเหมาะสมกับความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจ

รวมทั้งได้มีการปรับกฎเกณฑ์การกำกับดูแลภายใต้แนวคิด "Countercyclical FinancialRegulation" เพื่อเตรียมความพร้อมและป้องกันความเสี่ยงที่จะก่อตัวขึ้นในอนาคต

โดยการให้สถาบันการเงินกันเงินสำรองเพิ่มขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจดี เพื่อรองรับความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว รวมถึงการกำหนดให้สถาบันการเงินต้องดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำตามกฎหมายและดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่มเพื่อรองรับความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจขาลง n

Thailand Web Stat