มองโกล ในมุมที่เปลี่ยนไป
พูดถึงมองโกลทีไร ผู้คนมักคิดถึงแต่ยุคสมัยที่ชาวมองโกลยาตราทัพครองโลกด้วยเลือดนักรบอันดุดัน
พูดถึงมองโกลทีไร ผู้คนมักคิดถึงแต่ยุคสมัยที่ชาวมองโกลยาตราทัพครองโลกด้วยเลือดนักรบอันดุดัน ยุคสมัยนั้นเริ่มต้นด้วยผู้นำชาวมองโกลที่ชื่อเจงกิสข่านทัพม้าของเจงกิสข่าน ตะลุยขยายอาณาจักรไปกว้างไกลที่สุดเท่าที่อาณาจักรหนึ่งจะทำได้ เพื่อให้ข้าศึกสยบยอมทั่วหล้า ชื่อเสียงเรื่องการฆ่าล้างบางผู้คนทั้งเมือง หรือการใช้เชลยศึกของเมืองที่เพิ่งยึดได้ เป็นโล่มนุษย์เข้าบุกยึดเมืองถัดไป ล้วนเป็นเรื่องที่เล่าลือกันติดหูติดปาก
ปริมาณผู้คนที่ล้มตายก็มีตัวเลขน่าสะพรึง ว่ากันว่า เมื่อมองโกลเข้ายึดเมือง Samakand ทัพมองโกลก็ฆ่าล้างไปมากกว่า 1 ล้านชีวิต เมื่อปราบอาณาจักรซีเซี่ยก็สังหารไปถึง 8 แสน ส่วนอาณาจักรจิน (กิมก๊ก) ทางเหนือของจีนที่เคยมีสถิติสำมะโนประชากร 45 ล้านคน พอมองโกลเข้าครองก็ลดเหลือแค่เพียง 7 ล้านเท่านั้น
มาซาอากิ ซูกิยามา นักประวัติศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเคยเอาจำนวนประชากรที่ “ว่ากันว่า” ถูกทัพมองโกลสังหารในแต่ละเมืองทั้งหมดมาคำนวณรวมกัน พบว่า อาณาจักรมองโกลยุคนั้นไม่ควรจะเหลือประชากรไว้พัฒนาบ้านเมืองอีกต่อไป ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริงที่หลังจากนั้นไม่กี่สิบปีแผ่นดินในปกครองของมองโกลต่างเจริญรุ่งเรือง ประชากรหนาแน่นมิใช่น้อย โดยเฉพาะเมื่อมองโกลขยายอำนาจได้กว้างไกลสุดในช่วงปี ค.ศ. 1279
และเพราะแผ่นดินไม่สามารถบริหารบนหลังม้าได้เพียงอย่างเดียว กุบไลข่าน ผู้นำสูงสุดของมองโกลและผู้ก่อตั้งราชวงศ์หยวน ไม่ได้ปกครองด้วยการกดขี่ที่เล่าลือ อาณาจักรมองโกลเฟื่องฟูได้จากอิสระในการค้าขายระหว่างเอเชียและยุโรป โดยมองโกลสร้างระบบง่ายๆ หลวมๆ ไม่ซับซ้อน ตามประสบการณ์การค้าขายของชนเผ่าเร่ร่อน หลายแถบหลายเส้นทาง (ค้าขาย) จึงเฟื่องฟู
แค่ทิ้งคนที่ไว้ใจได้ไว้ปกครองตามหัวเมืองรายทาง เก็บส่วยเก็บภาษีส่งเข้าส่วนกลาง ไร้ซึ่งระบบระเบียบราชการซับซ้อน ด้านภาษีสินค้าระหว่างเส้นทางที่เคยต้องจ่ายตามระยะทาง อาณาจักรมองโกลก็ทำให้ลดลงเหลือเพียงน้อยนิด สินค้าแดนไกลจึงไหลเวียนไปมา (ยกเว้นภาษีเหล็กและเกลือที่ตั้งไว้สูง) อาณาจักรมองโกลกว้างใหญ่ สินค้าจากแดนไกลยิ่งเสียภาษีน้อย ก็ยิ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้คล่องแคล่ว นโยบายเส้นทางสายไหมทางบกทางทะเลของจีนที่เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยซ่งใต้ ล้วนได้รับการสานต่อมาอย่างงดงามในสมัยราชวงศ์หยวน เอาเข้าจริง เส้นทางสายไหมทางทะเลกลับถูกสั่งปิดโดยจูหยวนจาง ฮ่องเต้จีนผู้ขับไล่มองโกลออกไปต่างหาก
ยุคนั้น เมืองฉวนโจว มณฑลฟูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) คือเมืองท่าทางตะวันออกไกลที่รุ่งเรืองที่สุด บันทึกการเดินทางของพ่อค้าชาวยุโรปบันทึกไว้ว่า ในเส้นทางล่องเรืออันยาวไกลเมืองชื่อทง (ชื่อเดิมของฉวนโจว) คือแผ่นดินที่สว่างไสวที่สุดบนแผ่นดินตะวันออกไกลยามค่ำคืน เรื่องการปกครองของมองโกลที่ว่าโหดร้าย มักเป็นเรื่องของมุมมองที่เอาความต่างเผ่าพันธุ์เข้ามาจับ เพื่อหวังผลทางการเมือง ทั้งที่ในบันทึกร่วมสมัย มีไม่น้อยที่สะท้อนภาพตรงกันข้าม
เช่นตอนที่มองโกลเข้ารุกรานจีน ก็ไม่เคยมีบันทึกเรื่องฆ่าล้างเมืองแต่อย่างใด แถมแม่ทัพเหวินเทียนเสียงที่ภักดีต่อราชวงศ์ซ่ง กุบไลข่านได้ชวนเข้าพวกก็แล้วขังก็แล้วถึง 4 ปี จึงได้ประหาร หรือในบันทึกของบัณฑิตจีนที่ชื่อหลี่ไคเซียน บันทึกไว้ในช่วงต้นราชวงศ์หมิงว่า “ราชวงศ์หยวนไม่เกณฑ์ไพร่พลไปชายแดนไกล ภาษีน้อย กินอิ่มนอนหลับได้แต่งกลอน แต่งเพลงสำราญใจ”
มองอย่างเป็นกลางประเด็นไม่เกณฑ์ไพร่พล ย่อมไม่ใช่เพราะชาวมองโกลประเสริฐดีงาม เพียงแต่เพราะชาวมองโกลถือว่าตนเองเป็นชาตินักรบที่ปกครองแผ่นดินจีนได้ ย่อมสงวนเรื่องการทหารเป็นเรื่องของพวกตน แต่ผลพลอยได้คือ ชาวจีนปลอดภาระ ด้านภาษีน้อย ท้องอิ่ม ก็เพราะเน้นภาษีจากการค้าขาย เรื่องแต่งกลอนแต่งเพลงสำราญใจ ก็เพราะระบบการปกครองของมองโกลไม่ซับซ้อน มิได้ต้องการบัณฑิตมาร่วมงานมากมาย บัณฑิตส่วนหนึ่งจึงเลือกแต่งงิ้วแต่งนิทาน (ซึ่งเฟื่องฟูในสมัยนั้น)
จางซานเฟิง (เตียซำฮง) ซึ่งใครที่ติดนิยายกิมย้งคงคุ้นชื่อกันดีในฐานะเจ้าสำนักบู๊ตึ้ง ยังเคยบันทึกไว้ “ถึงแม้แผ่นดินตกเป็นของราชวงศ์หมิงกว่า 17 ปี แต่ข้ายังคงเป็นคนของราชวงศ์หยวน” ...แสดงว่ามองโกลก็มีดี (ในประวัติศาสตร์ จางซานเฟิง ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักมองโกลให้เป็นนายอำเภอ)
แล้วยังมีขุนนางชาวจีนฮั่นอีกจำนวนหนึ่งที่เลือกภักดีต่อราชวงศ์หยวนไม่ยอมสวามิภักดิ์ราชวงศ์หมิง แม้จะต้องโดนลงโทษถึงตายก็ตาม บันทึกการเดินทางของมาร์โคโปโล ก็ให้เครดิตกับแผ่นดินใต้ปกครองของกุบไลข่านไว้มากมาย ว่าหัวเมืองต่างๆ ในจีน มีประชากรหนาแน่น การค้าเจริญรุ่งเรือง จนขนาดทางเดินยังปูด้วยทองคำ
เอาล่ะ ถึงหลายคนจะเชื่อว่ามาร์โคโปโลโม้ และเขาไม่ได้มาถึงจีนจริงๆ แต่อย่างน้อย สำหรับพ่อค้าวาณิชแดนตะวันตก ชื่อเสียงเมืองจีนในช่วงนั้น ก็เล่าลือกันจนหวานหอม สวยงาม สำหรับชาวจีน การพรรณนาความโหดร้ายภายใต้การปกครองของชาวมองโกลหนาหูขึ้นตอนปลายราชวงศ์ชิง ซึ่งชาวจีนเริ่มต่อต้านชาวแมนจู แต่เนื่องจากราชสำนักแมนจูมีกฎหมายเอาผิดทางอักษรศาสตร์ ที่ “ด่าว่าติติงราชสำนักชิง=ประหาร” ชาวจีนจึงใช้มองโกลเป็นคราดระบายอารมณ์แทน
เช่นเรื่องที่ว่าราชวงศ์หยวนแบ่งคนในชาติเป็น 4 ชนชั้น คือ ชาวมองโกล ชาวตะวันตก ชาวจีนเหนือ และชาวจีนใต้ เพื่อกดขี่ชาวจีน ก็ถูกตีเรื่องขึ้นในปลายราชวงศ์ชิง ทั้งที่กว่าร้อยปีที่มองโกลปกครองจีนอยู่ ไม่เคยมีบันทึกหรือกฎหมายเป็นเป็นหลักฐาน ว่ามีการเอาเชื้อชาติมาเป็นเรื่องการเหยียดหยามทางชนชั้น ที่มีหลักฐานว่าแบ่งเชื้อชาติเป็น 4 กลุ่มก็แค่ตอนแบ่งรายชื่อขุนนาง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการเหยียดหยามใดๆ
ที่ถูกขุดและปั้นขึ้นมาเน้นใหญ่โต ก็ตอนที่ชาวจีนปลุกกระแสต่อต้านราชสำนักแมนจูนั่นเอง และตามประสา “คราด” จะโต้แย้งก็ไม่ได้ แถมไม่มีใครปกป้องอีกต่างหาก การกดขี่ข่มเหงจึงถูกเล่าอย่างดราม่าไม่มียั้ง ความโหดร้ายในการรบยึดเมืองของชาวมองโกลมีจริงหรือไม่ ย่อมมีจริงแน่ แต่อาณาจักรมองโกลคงไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการกดขี่เพียงอย่างเดียว
อาณาจักรมองโกลจึงยังเหลือจิ๊กซอว์อีกหลายชิ้นให้ปะติดปะต่อ และหลายชิ้นต้องดึงออก เพราะถูกปะติดปะต่อโดยผู้คนที่หวังผลทางการเมือง (เช่น จีนในยุคที่ยืมมองโกลมาด่าราชวงศ์ชิง) บางทีผู้ชนะที่ไม่ใส่ใจเขียนประวัติศาสตร์ ก็ถูกผู้แพ้แย่งเขียนได้เหมือนกัน