TIGER นำเงินลุยธุรกิจ
ช่วงท้ายปีจะเริ่มเห็นบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ
ช่วงท้ายปีจะเริ่มเห็นบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะต้องการระดมเงินไปลุยธุรกิจเกาะไปพร้อมๆ กับการที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังขยายตัว การลงทุนภาครัฐที่มีออกมามากขึ้น เพราะถ้าหากมีเงินทุนเพียงพอนั่นหมายถึงโอกาสในการสร้างความเติบใหญ่ให้กับกิจการ
เช่นเดียวกับ บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง (TIGER) ที่เสร็จสิ้นการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 122.28 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.65 บาท เปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 10-12 ต.ค.นี้ และจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ วันที่ 24 ต.ค.นี้ซึ่ง TIGER หวังจะนำเงินที่ได้จากการขายไอพีโอ เกือบ 4.50 ล้านบาท ไปใช้ในการทำธุรกิจและสร้างการเติบโตให้กับกิจการ
จตุรงค์ ศรีกุลเรืองโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TIGER เจ้าของและผู้ก่อตั้งต้องบอกว่า เป็นผู้บริหารหนุ่มที่ต้องการนำพากิจการที่สร้างขึ้นมากับมือให้เติบใหญ่และมีเงินทุนมากพอที่จะทำให้สามารถรับงานเข้ามาเพื่อสร้างการเติบโตให้กับกิจการ
“บริษัทผมมีความชำนาญงานรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับระบบ เพราะผมได้ใช้วิชาวิศวะงานระบบซึ่งผมเรียนและทำงานตรงในด้านนี้มาตลอด เพราะหลังจากจบวิศวะที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมก็ทำงานเป็นพนักงานบริษัทอยู่ 5 ปี และหลังจากนั้นได้ออกมาก่อตั้งบริษัทเอง เพราะผมมีเป้าหมายชัดเจนว่าผมจะเป็นเจ้าของกิจการ” จตุรงค์ กล่าว
อย่างไรก็ตามถึงตอนนี้ จตุรงค์ ในวัย 45 ปี กำลังนำพากิจการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งเขาก็บอกว่านี่คือหนึ่งในเป้าหมายที่ชัดเจนของเขา คือการนำบริษัทเข้าสู่การระดมทุนเพราะนั่นคือโอกาสที่จะสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ เพราะเพียงเงินสดที่ได้จากการดำเนินกิจการอาจจะไม่มากพอที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตและแข็งแกร่งพอในการเข้าไปประมูลหรือรับงานก่อสร้างใหญ่ๆได้ โดย กลุ่มบริษัทมีนโยบายการขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรับเหมาก่อสร้างโครงการทุกประเภท และงานออกแบบ (Construction Contractor-Build & Design) โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ และกำไร รวมถึงอัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัทให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างความมั่นคงทางธุรกิจในระยะยาว
กลุ่มบริษัทมีแผนการขยายธุรกิจการให้บริการรับเหมาโครงการที่มีมูลค่าและขนาดที่ใหญ่ขึ้น มีลูกค้าเป้าหมายทั้งสองกลุ่ม ซึ่งได้แก่กลุ่มงานภาคเอกชน และกลุ่มงานภาครัฐ
กลุ่มงานภาคเอกชน
ปัจจุบันลูกค้าของบริษัท เป็นเจ้าของโครงการที่มีงบประมาณสำหรับโครงการก่อสร้างขนาดประมาณ 200-300 ล้านบาทและเมื่อมีทุนก็จะเข้าไปในงานที่ใหญ่ขึ้น กลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า
กลุ่มงานภาครัฐ
สืบเนื่องจากภาครัฐได้มีการกำหนดนโยบายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและการลงทุนในพื้นที่ต่างๆ ภายในประเทศ เช่น นโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษโครงการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยพื้นที่ที่ได้รับผลดีจากนโยบายต่างๆ เหล่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่กลุ่มบริษัทได้เคยให้บริการรับเหมา กลุ่มบริษัทจึงเล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจรับเหมาต่างๆ ที่จะเป็นผลมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีมูลค่าสูงของภาครัฐสืบเนื่องจากนโยบายข้างต้น เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน เช่น นิคมอุตสาหกรรม ระบบชลประทาน ระบบถนน ระบบรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ในเขตพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย โดยกลุ่มบริษัทอาจพิจารณาเข้ารับงานโดยตรง หรือในลักษณะของกิจการร่วมค้า และกิจการค้าร่วม
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมูลค่างานโครงการที่ทางภาครัฐลงทุนจะมีมูลค่าสูง กลุ่มบริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนในการเข้าประมูลงานและรับงานค่อนข้างมาก จึงวางแผนนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสนับสนุนการเข้าประมูลและให้บริการรับเหมาโครงการกลุ่มงานภาครัฐต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่ตามแผนการที่ทางกลุ่มบริษัทพิจารณาแล้วเห็นถึงศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจ
“ผมเข้าใจดีว่าการมีเงินทุนที่เพียงพอจะทำให้กิจการมีโอกาสในการเติบโตเพราะที่ผ่านมาผมทำธุรกิจด้วยเงินรับจากการดำเนินงานไม่มีการกู้เงินจากสถาบันการเงินเลย ซึ่งทำให้ทุกวันนี้บริษัทไม่มีหนี้กับสถาบันการเงิน หรือมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเป็นศูนย์ แต่การไม่มีหนี้ก็แปลความได้ว่า บริษัทเล็กเกินไปกว่าที่สถาบันการเงินจะมั่นใจให้กู้ ดังนั้นผมจึงใช้เงินจากภายในการทำงานมาตลอดระยะเวลา ที่ตั้งบริษัทมา เมื่อปี 2545 และ 2.เป็นเพราะผมซึ่งใจดีและไม่อยากเป็นหนี้ ครอบครัวผมผ่านมาอย่างยากลำบากเพราะคุณแม่เคยล้มละลาย ดังนั้นในการทำงานและทำธุรกิจผมจะรอบคอบและระมัดระวังมาก งานในบริษัททุกขั้นตอนผมจะเข้าใจและรู้ในทุกๆ ขั้นตอนของงาน” จตุรงค์
อย่างไรก็ตาม เริ่มแรกของการเข้ามาทำธุรกิจคือการได้โอกาสไปทำโครงการบ้านจัดสรรที่มหาชัย ซึ่งตอนนั้นก่อสร้างขนาด 50-60 หลัง เริ่มแรกนั้นมาร์จิ้นบางมากแต่นั้นก็คือโอกาสที่เกิดขึ้นกับบริษัทเมื่อโครงการนี้จบก็ได้เข้ามาทำที่วิภาวดี 60 โครงการมีมูลค่าใหญ่ขึ้น เกิน 100 ล้านบาท สำหรับคนที่เริ่มทำธุรกิจนี้คือความภูมิใจเพราะจากเล็กมาใหญ่ขึ้น ...แต่ก็เจอปัญหา เงินไม่มาตามงานก่อสร้าง จากที่มีกำไร กลับต้องเจอปัญหาแต่ผมก็สู้และหลังจากนั้นได้ข้ามไปก่อสร้างโรงแรมที่เกาะช้าง และโรงแรมลูกค้าพอใจและทุกอย่างสำเร็จตอนนั้นมีเงินเข้ามากว่า 200 ล้านบาท ต้องบอกว่ามันคือจุดฟื้นและหลังจากนั้นโรงแรมในเกาะช้างส่วนใหญ่ก็จะผ่านฝีมือของบริษัท และกิจการก็เติบโตมาต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามผลดำเนินงานนับแต่ปี 2558-2560 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมจำนวน 369.41 ล้านบาท 495.03 ล้านบาท และ 616.40 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ 29.17% ในขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 2561 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมจำนวน 353.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 91.10 ล้านบาท หรือ 34.66% และมีกำไรสุทธิ 38 .38 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเปรียบเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25.45ล้านบาท
ทั้งนี้ หากดูโครงสร้างการถือหุ้นหลังไอพีโอจะพบว่า มีกลุ่ม เทียนทอง เข้ามาซื้อหุ้นรวม 7.8 ล้านหุ้น ประกอบด้วย บดี และ อนุรักษ์ เทียนทอง เข้ามาซื้อหุ้น