EXIM BANK ออก2มาตรการสินเชื่อดอกต่ำ6,000ล้านอุ้มเอสเอ็มอี
EXIM BANK ออกมาตรการของขวัญปีใหม่ ช่วย SMEs แบกรับต้นทุน ลดภาระหนี้ รับความผันผวนเศรษฐกิจโลกปี 2563
EXIM BANK ออกมาตรการของขวัญปีใหม่ ช่วย SMEs แบกรับต้นทุน ลดภาระหนี้ รับความผันผวนเศรษฐกิจโลกปี 2563
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ EXIM BANK จึงออก “มาตรการ EXIM เสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก” และ “มาตรการ EXIM ลดภาระในการชำระหนี้” เพื่อช่วยผู้ส่งออก SMEs ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบันของ EXIM BANK ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ให้มีสภาพคล่องมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ส่งออก ผู้นำเข้าเพื่อผู้ผลิตในการส่งออก และผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออก สามารถเลือกได้ที่จะใช้วงเงินกู้ระยะยาวหรือวงเงินกู้ระยะสั้น สำหรับนำไปลดภาระการชำระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องกิจการให้มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินธุรกิจส่งออก หรือปรับปรุงเครื่องจักร โรงงาน เทคโนโลยีการผลิต เป็นต้น วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลาชำระคืนสูงสุด 7 ปี อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1-2 เท่ากับ 3.99% ต่อปี สามารถใช้หนังสือค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันร่วมกับหลักประกันอื่น ๆ ได้ ฟรีค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อผ่าน บสย. สูงสุด 4 ปี เป้าหมายวงเงินอนุมัติ 2,000 ล้านบาท
สำหรับ มาตรการ EXIM ลดภาระในการชำระหนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกค้า SMEs ของ EXIM BANK ที่ยังไม่ต้องการวงเงินเพิ่ม แต่ต้องการลดภาระในการผ่อนชำระหนี้รายงวดที่มีกับ EXIM BANK ทั้งเงินกู้ยืมระยะยาวและเงินกู้ยืมระยะสั้น โดยลูกค้าที่มีวงเงินกู้ยืมระยะยาวจะขยายระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 2 ปี กรณีขยายระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ไม่เกิน 1 ปี จะได้รับอัตราดอกเบี้ยลดลงจากเดิม 0.125% ต่อปี ส่วนลูกค้าที่มีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจะได้รับการเพิ่มสัดส่วนการเบิกกู้และลดอัตราดอกเบี้ย โดยเบิกกู้ได้เพิ่มสูงสุด 95% ของมูลค่า L/C และ 85% ของมูลค่า P/O พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.125% ต่อปีเป็นระยะเวลา 1 ปี มีวงเงินสนับสนุน 4,000 ล้านบาท
ทั้งสองมาตรการมีระยะเวลาให้บริการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ถึง 31 ธันวาคม 2563 คาดว่าจะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ราว 15,700 ล้านบาท ช่วยให้เกิดการจ้างงานในระบบ 5,200 ราย เพิ่มสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้ของผู้ส่งออก SMEs ได้กว่า 750 ราย ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ในห่วงโซ่มูลค่าการส่งออก (Export Value Chain) ได้รับการบรรเทาภาระหนี้และต้นทุนการดำเนินกิจการ รวมทั้งใช้โอกาสนี้ปรับปรุงสินค้าและบริการเพื่อให้การส่งออกแข่งขันได้ดีขึ้นในอนาคต
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า การส่งออกไทยในปี 2563 จะกลับมาฟื้นตัวโดยอาศัยจุดแข็ง 3 ประการ ได้แก่
1. ศักยภาพของสินค้าไทยที่ทนต่อแรงเสียดทานจากความไม่แน่นอนได้ดี ทั้งสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ที่ได้มาตรฐานสากล และสินค้าที่ตอบสนองเมกะเทรนด์โลก รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่ในแต่ละช่วงวัยได้ อาทิ สินค้าเครื่องสำอาง เครื่องประดับ เครื่องมือแพทย์ เภสัชภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์
2. การกระจายตลาด ปัจจุบันผู้ส่งออกไทยสร้างสมดุลการส่งออกไปตลาดการค้าเดิมและตลาดใหม่ได้ดี ทำให้สินค้าไทยบางรายการได้อานิสงส์จากการแทนที่สินค้าจีน อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า และของใช้ในครัวเรือน ขณะที่สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอาหารของไทยสามารถเข้าตลาดญี่ปุ่นได้มากขึ้น รวมทั้งเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกของญี่ปุ่นในปี 2563 ขณะเดียวกัน ไทยก็มีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 50% ไปตลาดใหม่ อาทิ อินเดีย เวียดนาม ฮังการี โปแลนด์ ไนจีเรีย โมร็อกโก และเม็กซิโก รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ขยายตัวกว่า 5% ผู้บริโภคโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวมีกำลังซื้อมากขึ้น และยังมีความต้องการสินค้าไทยอีกมากในตลาดเหล่านี้
3. การลงทุนเพื่อสร้างห่วงโซ่มูลค่าใหม่ๆ เพื่อส่งออกมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันการลงทุนของต่างชาติในไทยและการลงทุนของนักลงทุนไทยเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษีแก่นักลงทุน ทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีมูลค่าหรือนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว