posttoday

กลุ่ม KTBST จัดทัพ รับมือการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบเทคโนโลยี

07 มกราคม 2563

ปรับโครงสร้างบริษัทตั้ง KTBST Holding มุ่งขยายธุรกิจเป็นสถาบันการเงินครบวงจร

ปรับโครงสร้างบริษัทตั้ง KTBST Holding เพื่อมุ่งขยายธุรกิจเป็นสถาบันการเงินครบวงจร


ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST SEC) เปิดเผยว่า ในปี 2562 กลุ่มบริษัท KTBST ได้ขยายธุรกิจและบริการเพิ่มเติมจากบริการซื้อขายหลักทรัพย์ คือ บริการกองทุนรวม และกองทุนรีท ทำให้ในรอบ 11 เดือน สิ้นสุด ณ 29 พฤศจิกายน 2562 กลุ่มบริษัท KTBST ซึ่งรวม 3 บริษัท คือ KTBST SEC บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด (We Asset) และบริษัท เคทีบีเอสที รีท แมเนจเมนท์ (KTBST REIT) มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,104 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 30 ล้านบาท

ด้านผลการดำเนินงานของ KTBST SEC มีรายได้สิ้นสุด ณ 29 พฤศจิกายน 2562 ที่ 1,092 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 44 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจาก 2 ส่วน คือ ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และอนุพันธ์ 42% และค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริการอื่น ๆ ได้แก่ ตราสารหนี้ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และวาณิชธนกิจ 38% นอกจากนั้นเป็นรายได้จากธุรกิจต่างประเทศและธุรกิจ Block Trade 12% ที่เหลือมาจากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์และรายได้อื่น ๆ 8%

กลุ่ม KTBST จัดทัพ รับมือการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบเทคโนโลยี ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์

ธุรกิจการซื้อขายในตลาด TFEX บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด อยู่ที่ 5.15% ติดอันดับ 7 ของอุตสาหกรรม ส่วนธุรกิจ อื่น ๆ (ณ สิ้นเดือน พ.ย.) ของ KTBST ยังคงการเติบโตต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล (Private Wealth Management) และธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุน (Investment Advisory) มีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำ (AUA) 80,000 ล้านบาท ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลเติบโตขึ้น มีสินทรัพย์ภายใต้การ

บริหารจัดการ (AUM) อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ส่วนธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน (Selling Agent) ปัจจุบัน มี AUA เติบโตอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ด้านธุรกิจวาณิชธนกิจด้านการออกตราสารหนี้ หรือ Corporate finance solution ในปีนี้บริษัทออกตราสารหนี้ทั้งตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ เพื่อระดมทุนให้บริษัทชั้นนำต่าง ๆ กว่า 30 บริษัท มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท

ด้วยการเติบโตดังกล่าวส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่ซื้อขายอยู่เป็นประจำจำนวนกว่า 8,000 บัญชีเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,000 บัญชี จากปีก่อนหน้าทั้งนี้ ในการดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ KTBST จะไม่ได้เน้นขยายส่วนแบ่งการตลาด เนื่องจาก บริษัทเน้นการให้บริการการวางแผนการลงทุนแบบครบวงจรมากกว่าการเทรดหุ้นเพียงอย่างเดียว

ด้านการขยายความร่วมมือทางธุรกิจ KTBST SEC ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ไห่ตง อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป ไพรเวท ลิมิเต็ด (สิงคโปร์) โดยมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกันถือเป็นความเชื่อมโยงทางธุรกิจกันระหว่างประเทศไทย กับเกาหลี , จีน , ฮ่องกง, และสิงคโปร์ เพื่อเพิ่มศักยภาพของ KTBST SEC ไปสู่ระดับสากล ในการบริการด้านวาณิชธนกิจและนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ใน 4 ด้าน ได้แก่ บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ การบริหารจัดการลงทุน งานด้านวาณิชธนกิจ และผลิตภัณฑ์การเพื่อบริหารความมั่งคั่ง

ด้านผลิตภัณฑ์การลงทุน KTBST SEC ได้เปิดตัวบริการ KTBST Skynet Social Trading เต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนในหุ้นแบบออนไลน์ ที่ช่วยสร้างเครือข่ายสังคมการลงทุนออนไลน์คุณภาพ ที่แรกและที่เดียวในประเทศไทย

ด้วยฟังชั่นเด่นคือ Master และ Follower ที่ให้ลงทุนซึ่งเป็น ผู้ติดตาม หรือ Follower ได้ติดตามการซื้อขายของนักเทรดหุ้นมืออาชีพ หรือ Master และ Follower สามารถตัดสินใจส่งคำสั่งซื้อขายตาม Master ที่นักลงทุนติดตามได้ ด้าน KTBST TFEX MT4 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขาย สินค้าในตลาดอนุพันธ์ จากการที่บริษัทฯ เริ่มการทำการตลาด ผ่านการให้ข้อมูลผ่านสื่อต่าง ๆ และจัดสัมมนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ ขยายฐานลูกค้าที่ใช้บริการ MT4 ออกไปมากกว่า 1,500 บัญชี

ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 2563 KTBST SEC มีแผนจะเปิดให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ SET100 ผ่านแพลตฟอร์ม MT4 อีกด้วย นอกจากนี้ KTBST SEC ยังขยายธุรกิจต่างประเทศให้ครอบคลุม ทั้งการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ กองทุนรวมต่างประเทศ และการลงทุนทางเลือกอื่นๆ เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร

ธุรกิจกองทุนรวม 

สำหรับบริษัทในเครือ ปีนี้ ได้มีการเปิดตัว บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด (We Asset) พร้อมด้วยผู้บริหาร ภายใต้แนวคิด "We design your wealth .. We grow together" ที่มุ่งเน้นนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่สร้างผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และมีนวัตกรรมทางการเงินที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันเพื่อความมั่งคั่งภายใต้ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม โดย ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 We Asset มีจำนวนกองทุนรวม ทั้งหมด 12 กองทุน และมูลค่าทรัพย์สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ 4,839 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในสิ้นปี จะสามารถปิด AUM ได้ที่ 5,000 ล้านบาท

ส่วนอีกบริษัทในเครือ คือ บริษัท เคทีบีเอสที รีท แมเนจเมนท์ (KTBST REIT) ในปี 2562 ได้เตรียมเดินหน้าจัดตั้งกองรีท 2 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 5 พันล้านบาท มีทั้งสินทรัพย์ที่เป็นกลุ่มโกดังสินค้าหรือโรงงาน , โรงแรมที่พักและสำนักงานกับพื้นที่ค้าปลีก และตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในปี 2563 เป็น 1 หมื่นล้านบาท จากแนวโน้มของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT ที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนรายย่อยและผู้ลงทุนสถาบันในลักษณะของผลตอบแทนและความเสี่ยงในระดับปานกลาง อีกทั้งการจ่ายปันผลในระหว่างทาง

ปรับโครงสร้างบริษัทตั้งโฮลดิ้ง 

ดร.วิน กล่าวว่า เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์ที่จะเป็นสถาบันการเงินในประเทศไทยที่ครบวงจร และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและรองรับการขยายตัวของทุกธุรกิจในอนาคต รวมไปถึงการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบด้านเทคโนโลยี (Digital Disruption) และคู่แข่งใหม่ ๆ ตลอดทั้งการสร้างโอกาสในการยกระดับมาตรฐานของบริษัทเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

โดยเมื่อเดือน พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้น และกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของบริษัท ด้วยการตั้ง “บริษัท เคทีบีเอสที โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)” (KTBST Holding) ขึ้น เพื่อขยายธุรกิจ ให้ KTBST Holding เป็นสถาบันการเงินครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันมี บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST SEC) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด (We Asset) และ บริษัท เคทีบีเอสที รีท แมเนจเม้นท์ จำกัด (KTBST REIT) เป็นบริษัทลูก (Subsidiaries) และยังมีแผนที่จะขยายไปลงทุนในบริษัทอื่น ๆ ในปี 2563

“ภาพรวมในปี 2562 จะเห็นได้ว่าตลาดเงิน และตลาดทุน อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลให้การลงทุนมีความผันผวนตลอดทั้งปี อีกทั้งยังกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยที่ชะลอตัวลง แต่จากการดำเนินธุรกิจของทั้งกลุ่มธุรกิจของ KTBST ที่หลากหลายและมีความพร้อมในธุรกิจทางการเงิน จึงทำให้บริษัทยังสามารถเติบโตและยังมีผลกำไร และในปี 2563 เชื่อว่าภาวะตลาดการเงินที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วจะทำให้นักลงทุนจะมองหาบริการทางการเงินที่ตรงกับความต้องการของตนเองและเหมาะสมกับภาวะการลงทุน 2563

ซึ่ง กลุ่มบริษัท KTBST ยังเดินหน้าให้บริการในฐานะสถาบันเงินที่เชี่ยวชาญด้านพัฒนาธุรกิจด้วยการมีธรรมาภิบาลที่โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ ในการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร พร้อมด้วยบุคลากรที่เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนควบคู่ไปกับการมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ" ดร.วิน กล่าว

จับตาปัจจัยลงทุนปี 2563

ด้านมุมมองเศรษฐกิจโลกและการลงทุนปี 2563 นายชาตรี โรจนอาภา กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ KTBST SEC เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2562 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกปี 2562 มีขยายตัวในอัตราที่ช้าลงเทียบกับช่วงก่อนหน้าเป็นผลมาจากปริมาณการค้าโลกที่หดตัวลง รวมทั้งตลาดการเงินมีความผันผวนสูงขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้า การดำเนินนโยบายที่ไม่ประสิทธิภาพ ตลอดจนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร ในปี 2563 KTBST SEC คาดว่าภาพการลงทุนยังคงคล้ายคลึงกับปี 2562 แต่จะมีความผันผวนที่ต่ำลงจาก 3 ปัจจัยหลักดังนี้

1. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2020 ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอดีตพบว่าในช่วงการเลือกตั้งจะเกิด “Election rally” คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะให้ผลตอบแทนในช่วงปีที่มีการเลือกตั้งมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก

2. รูปแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจเปลี่ยนจากนโยบายทางการเงิน มาสู่นโยบายทางการคลังในการป้องกันการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Policy switching) โดยนโยบายที่คาดว่าประเทศพัฒนาแล้วจะนำมาใช้คือการลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี

3. สถานการณ์สงครามการค้าเบนเข็มสู่ยุโรป ทาง KTBST คาดว่าข้อตกลงทางการค้า Phase 1 น่าจะสามารถบรรลุได้ในช่วงเดือนมกราคม ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตเริ่มกลับมาวางแผนผลิตเพื่อเพิ่มสินค้าคงคลังให้กลับมาสู่ระดับปกติ และส่งผลให้เกิดนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี หากนายโดนัลด์ ทรัมป์สามารถชนะการเลือกตั้งได้ จะหันกลับมาทำสงครามทางการค้ากับยุโรปเพื่อชดเชยการขาดดุลทางการค้า ตามนโยบาย Keep America great again!

ด้านมุมมองดอกเบี้ย KTBST SEC คาดว่าปีหน้าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจมีการลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการปรับลดลงอีกครั้งให้สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยโลก

กลุ่ม KTBST จัดทัพ รับมือการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบเทคโนโลยี ชาตรี โรจนอาภา

คำแนะนำการลงทุน

นายชาตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2563 KTBST SEC ยังให้คำแนะนำเน้นลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปมากกว่าตลาด เนื่องจากคาดว่ามีโอกาสนำเครื่องมือการคลังมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง รวมทั้งพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดสามารถสร้างผลประกอบการได้ดีกว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่ สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานจากอัตราเงินปันผลที่สูง ประกอบกับเงื่อนไขของกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund – SSF) ที่จะเริ่มต้นในปีหน้าเปิดให้ลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้อย่างเสรีจึงเป็นโอกาสให้กองทุนเพื่อการออมลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น

ส่วนสินทรัพย์ที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน คือ ตลาดหุ้นเกาหลี และฮ่องกง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความไม่แน่ไม่นอนด้านสงครามการค้า ในขณะที่ตราสารหนี้นั้นแนะนำให้ลดการถือครองเงินสด ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับต่ำและเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนคุณภาพดีเพื่อเพิ่มผลตอบแทน (Investment grade Bond)

ทิศทางตลาดหุ้นไทย และหุ้นเด่นปี 63

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน KTBST SEC ประเมินปัจจัยและทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2563 ว่า ประเด็นข้อตกลงทางการค้าของสหรัฐและจีน คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าได้บางส่วน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นในไตรมาสที่ 2 อีกทั้งธนาคารกลางทั่วโลก จะดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเทศไทยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวได้ในครั้งปีหลัง ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย จะฟื้นตัวตั้งแต่ ครึ่งปีแรกเป็นต้นไป

ทั้งนี้ ประมาณการกำไรปี 2563 ไว้ที่ 9.8 แสนล้านบาท ขยายตัว 8.2% โดยมีค่า EPS เฉลี่ยอยู่ที่ 94.8 บาท และปี 2564 คาดกำไรอยู่ที่ 1.08 ล้านล้านบาท ขยายตัว 10.5% และคิดเป็น EPS เฉลี่ยที่ระดับ 103.6 บาท ทั้งสองปีจะเป็นการขยายตัวมาจากฐานที่ต่ำและผลกระทบจากสงครามการค้าที่คลี่คลายลง ส่วนเป้าหมาย SET INDEX ปี 2563 คาดว่าอยู่ที่ 1,725 จุด โดยอิง Forward P/E ที่ 18.2 เท่า หรือ +0.50 SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 16.75 เท่า และคาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหว ต่ำสุด-สูงสุด ของ SET INDEX ให้ไว้ที่ 1,588-1,787 จุด

กลุ่ม KTBST จัดทัพ รับมือการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบเทคโนโลยี มงคล พ่วงเภตรา

สำหรับหุ้นเด่นในปี 2563 ที่คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีในปี 2563 และในไตรมาสแรก มีดังนี้

1.) กลุ่มที่ผลการดำเนินงานยังเติบโตดีต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มสัมปทานภาครัฐ สินเชื่อรายย่อย หรือหุ้นที่มีการลงทุนใหม่ ๆ ได้แก่ BCH, CBG, GUNKUL, PRM, SPALI, BGC, MTC, SAWAD, OSP , BDMS, และ JMT

2.) กลุ่มที่ราคาหุ้นหรือผลประกอบการอ่อนตัวลงมามากในปี 2019 อาทิ น้ำมัน , ปิโตรเคมี , ส่งออก , โรงแรม เช่น ERW, BCP, CPF, TKN , IRPC, PTTEP และ HANA ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า (GULF, BGRIM, GPSC) คาดว่าปีทองได้ผ่านไปตั้งแต่ปี 2562 แล้ว