posttoday

บลจ.ยูโอบี แนะกระจายการลงทุนลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่ยังสูง

10 เมษายน 2565

บลจ.ยูโอบี มองหุ้นไทยยังทรงตัว แนะกระจายการลงทุนลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่ยังสูง

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด (บลจ.ยูโอบี) มองว่า เศรษฐกิจโลกในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาส่งสัญญาณชะลอตัวลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจเข้าสู่วัฏจักรระยะกลาง (Mid Cycle) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ปัญหาราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความกังวลของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนนั้นได้เข้ามาซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อที่มีอยู่เดิมและกดดันให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น สำหรับการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron Variant นั้นได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หลายๆ ประเทศเริ่มปรับมาตรการในการอยู่ร่วมกับ COVID-19 ในฐานะโรคประจำถิ่นและทยอยกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง

สำหรับสภาวะการลงทุนของตลาดหุ้นในไตรมาสที่ 1 มีการปรับฐานใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดฝั่งสหรัฐฯ หลังจาก Fed ได้ส่งสัญญาณการยุติมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (Quantitative Easing : QE) และขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วขึ้นกว่าที่ตลาดคาดก่อนหน้านี้มาก รวมถึงอาจจะเริ่มการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening) ในช่วงกลางปีนี้เพื่อสกัดปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนได้กดดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบหลายปี บลจ.ยูโอบี มีมุมมองการลงทุนไทย ว่า ทิศทางของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในช่วงไตรมาสหน้ายังคงทรงตัวในกรอบ 1,600 – 1,700 จุด แม้ว่าการแพร่ระบาดของ Omicron Variant ยังคงอยู่ แต่รัฐบาลนั้นได้วางแผนการปรับให้ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่นในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้าและทยอยปรับมาตรการที่ยืดหยุ่นในการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเป็นผลบวกต่อภาคธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยวและภาคการบริโภค ทั้งนี้เรายังคงน้ำหนักการลงทุนที่ระดับ Neutral โดยการบริโภคในประเทศและภาคการส่งออกจะเป็นปัจจัยสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

นอกจากนี้ SET Index อาจจะพอมี Upside ในการปรับคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้าจากการเปิดเมือง แต่เรามองว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นในลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากนักท่องเที่ยวหลักจากประเทศจีนที่ยังคงดำเนินนโยบายแบบเข้มงวดรวมถึง Valuation ตลาด ณ ปัจจุบันค่อนข้างตึงตัว ดังนั้น ควรรอจังหวะเพื่อเข้าสะสมหาก SET Index มีการย่อตัวลงต่ำกว่าระดับ 1,610-1,630 จุด

บลจ.ยูโอบี ประเมินกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาสที่ 2/2022 ปัจจัยความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และ เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการลงทุน ดังนั้นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Mode) ท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและไม่ควรที่จะกลัวการลงทุนมากไป (Too Bearish) ด้วยตัวเลือกการลงทุนที่จำกัดในสภาวะปัจจุบัน การลงทุนในหุ้นยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงที่สภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง เนื่องจากสามารถส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปในรูปแบบของราคาสินค้าหรือบริการที่สูงขึ้นได้บางส่วนทำให้การลงทุนในหุ้นสามารถป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อได้ด้วยเช่นกัน (Inflation Hedged) อย่างไรก็ดี ต้องอาศัยการคัดสรร (Selection) และ การกระจายการลงทุน (Diversification) ไปยังสินทรัพย์อื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย โดยเราแนะนำให้ถือเงินสดและทองคำเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วลงและกระจายการลงทุนออกไปยังหุ้นกลุ่มประเทศในฝั่งเอเชียที่มี Valuation ที่น่าสนใจและมี Upside จากการเปิดประเทศเพื่อลดความผันผวน

สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในหุ้นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วนโดยส่วนแรกพอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) ลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกและกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายและเหมาะสำหรับการลงทุนอย่างมีคุณภาพในธีมการเติบโตระยะยาว (Secular Growth Themes) อย่างเช่น UGQG, UEV, UNI เป็นต้น รวมถึงกองทุนกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธีม ESG ของ บลจ.ยูโอบี อย่างเช่น UESG หรือ USUS ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม (E : Environmental) สังคม (S : Social) และ ธรรมาภิบาล (G : Governance)

ส่วนการลงทุนในส่วนที่ 2 เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการปรับพอร์ตการลงทุนในระยะสั้นตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป (Tactical Call) เราแนะนำแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 กลุ่มย่อยๆ คือ

1) การลงทุนในกลุ่ม Healthcare ในตลาดที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากมีลักษณะทนทานต่อวัฏจักรเศรษฐกิจ (Defensive Play) ที่จะสามารถลดความผันผวนได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่เข้าสู่ Mid Cycle เรียบร้อยแล้วโดยเราแนะนำกองทุน UOBSHC ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเพื่อสุขภาพทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผู้พัฒนายารักษาโรคร้ายแรง การพัฒนาวัคซีนใหม่ๆ ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย รวมไปถึงนวัตกรรมด้านการพบแพทย์และให้คำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านระบบออนไลน์ต่างๆ

2) การลงทุนในประเทศจีนที่ Valuation ณ ปัจจุบัน ได้ซึมซับข่าวร้ายไปมากแล้ว และเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายจากภาครัฐที่สนับสนุนตลาดมากขึ้นและคาดว่าตลาดจีนจะมี Sentiment ที่ดีขึ้นโดยเราแนะนำกองทุน UCI ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาด A-Share ที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมและการบริโภคในประเทศ รวมถึงกองทุน All-China อย่าง UCHINA ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนที่มีคุณภาพและมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีตามภาพการบริโภคในจีนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะยาว

3) การลงทุนในตลาดที่ยังมี Upside จากการเปิดประเทศในระยะข้างหน้าอย่างกลุ่มประเทศในฝั่งเอเชียเราแนะนำกองทุน UVO ที่เน้นลงทุนในหุ้นประเทศเวียดนามที่ศักยภาพในการเติบโตที่ดี และตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่เริ่มกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งและมีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยเราแนะนำกองทุน UOBSJSM ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็กในประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ