posttoday

พาณิชย์ หนุนผู้ประกอบการผลิตเสื้อผ้าปรับตัว ตอบโจทย์ BCG Model

15 มิถุนายน 2566

พาณิชย์ ชี้ช่องผู้ประกอบการผลิตเสื้อผ้าเพื่อส่งออก ต้องผลิตสินค้าที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน สร้างโอกาสทางธุรกิจตอบโจทย์กระแส BCG Model ชี้ตลาดเสื้อผ้าทำมาจากวัสดุรีไซเคิลโลก โตเนื่องเฉลี่ย 10.7% ต่อปี

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กล่าวว่า สนค. ได้ติดตามแนวโน้มความต้องการเสื้อผ้าที่ผลิตจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิล (Textile recycling) ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค โดยวัสดุที่นำมารีไซเคิลมีทั้งสิ่งทอก่อนการใช้งาน (Pre-consumer) เช่น เศษด้ายหรือผ้าเหลือใช้ในโรงงาน และสิ่งทอหลังการใช้งาน (Post-consumer) เช่น เสื้อผ้าเก่าและของใช้ในบ้าน สำหรับตลาดเสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิลของโลก ในปี 2565 มีมูลค่าประมาณ 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2575 คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึงร้อยละ 10.7 ต่อปี  

 

สาเหตุที่หลายภาคส่วนหันมาผลิตเสื้อผ้าจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิลเพิ่มขึ้น เนื่องจากการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มแบบเดิมส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม โดยการผลิตสิ่งทอทั้งโลกมีการใช้น้ำประมาณ 9.3 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มมีการปล่อยน้ำเสียร้อยละ 20 ของการปล่อยน้ำเสียทั่วโลก นอกจากนี้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 1.7 พันล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 8-10 ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก  ซึ่งมากกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางทะเลรวมกัน ดังนั้นหากมีการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเพิ่มขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค อาจจะก่อให้เกิดมลพิษจากการผลิตและกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
 

 

ผอ.สนค. ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันบริษัทเสื้อผ้าชั้นนำเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติด้านอุตสาหกรรมแฟชั่นว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Fashion Industry Charter for Climate Action) โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ส่งผลให้ผู้ผลิตเสื้อผ้าปรับเปลี่ยนการออกผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิลเพิ่มขึ้น อาทิ สหรัฐอเมริกา แบรนด์ Patagonia ซึ่งผลิตเสื้อผ้าสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง มีเสื้อผ้าร้อยละ 70 ที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิล สวีเดน แบรนด์ H&M และ ญี่ปุ่น แบรนด์ UNIQLO มีการรับเสื้อผ้าที่ใช้แล้วไปผ่านกระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเสื้อผ้าใหม่ 

 

ในส่วนประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดเสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิลปี 2575 จะอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 0.5 ของมูลค่าตลาดเสื้อผ้าทั้งหมดของไทย  โดยมีผู้ประกอบการไทยหลายรายปรับตัวมาผลิตเสื้อผ้าจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิล อาทิ แบรนด์ Circular ได้นำเศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าไปแปลงสภาพเป็นสิ่งทอรีไซเคิลที่นำไปผลิตเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า และเฟอร์นิเจอร์ เพื่อขายทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแบรนด์ Moreloop ที่เป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ได้นำผ้าที่เหลือจากกระบวนการผลิตของโรงงานเสื้อผ้ามาผลิตเป็นเสื้อผ้าและกระเป๋า อีกทั้งยังนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อเป็นตัวกลางระหว่างโรงงานที่ต้องการขายผ้าเหลือ และผู้ซื้อต้องการผ้าในตลาดออนไลน์
 

 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสิ่งทอรีไซเคิล สามารถดำเนินการจัดทำมาตรฐานที่ทั่วโลกให้การยอมรับซึ่งโดยส่วนใหญ่อยู่บนหลักความสมัครใจ อาทิ Global Recycle Standard (GRS) คือ มาตรฐานระหว่างประเทศที่ได้รับการรับรองจากองค์กรด้านสิ่งทอในต่างประเทศ เพื่อบ่งบอกว่าบริษัทผลิตสินค้าที่มาจากการรีไซเคิลที่ยั่งยืน รวมทั้งการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลที่เป็นมิตรต่อคนและสิ่งแวดล้อม รวมถึง OEKO-TEX® Standard 100 คือ การทดสอบมาตรฐานสินค้าระดับสากลของสถาบันทดสอบสิ่งทอ (The International Association for Research and Testing in the Field of Textile Ecology) โดยใช้การทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ตรวจสารตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ตรวจสอบในเรื่องของกระบวนการผลิตและการประกันคุณภาพสินค้า ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการจะต้องศึกษา ทำความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎระเบียบของประเทศคู่ค้าควบคู่กันไปด้วย อาทิ สหภาพยุโรป มีฉลากสิ่งแวดล้อมแห่งสหภาพยุโรป (EU Ecolabel/EU Flower) ที่ระบุสรรพคุณสินค้าได้ว่ามีมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมที่สูงและเป็นมิตรต่อทั้งผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม สหราชอาณาจักร มีฉลากชนิดเส้นใยและอัตราส่วนผสม (Fiber name and fiber composition) เพื่อระบุชื่อเส้นใยหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามที่กฎหมายระบุให้ประชาชนรับทราบ

 

ผอ.สนค. กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับนโยบายที่เกี่ยวกับการค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสินค้าบนพื้นฐาน BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นแนวคิดการลดขยะและมลพิษ รวมทั้งการหมุนเวียนวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ อาทิ โครงการพัฒนาสินค้าผ้าไทยสู่ตลาดโลกด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) ที่นำเศษผ้าจากการตัดและทอผ้า มาเรียงสีแล้วนำไปทอใหม่ก่อนนำไปตัดเย็บเป็นผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า นอกจากนี้ยังมีโครงการ Local+ (โลคัล พลัส) ที่ผลักดันสินค้าท้องถิ่นที่รักษาสิ่งแวดล้อม ภูมิปัญญาและมีนวัตกรรม ตัวอย่างเช่น การพัฒนาเสื้อผ้า “ผ้ามัดย้อมมูลวัว” ที่นำมูลวัวมาเป็นน้ำย้อมผ้า นับเป็นการนำของเสียมาแปรรูปให้เกิดมูลค่า ซึ่งถือเป็นการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

 

"ตลาดเสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลนับเป็นโอกาสใหม่ทางธุรกิจที่น่าจับตามองในอนาคต เนื่องจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความตระหนักในการรักษาสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ภาครัฐจึงควรให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการทั้งเรื่องการส่งเสริมองค์ความรู้และการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อยกระดับศักยภาพการผลิตเสื้อผ้ารีไซเคิลของไทย"

 

 นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎระเบียบและการรับรองมาตรฐานสิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขยายช่องทางการตลาดระดับโลกโดยเฉพาะคู่ค้าที่ให้ความสำคัญแก่สิ่งแวดล้อม