posttoday

รู้ผลแล้ว “ไตรรัตน์” เข้าวินเลขาฯกสทช.ผู้สมัครร้องใช้อำนาจไม่เป็นธรรม

23 สิงหาคม 2566

ประธานกสทช.ร่อนหนังสือ “ไม่ผ่านการคัดเลือก” ถึงผู้สมัครเลขาธิการกสทช.ทั้ง 7 คนแล้ว คาดเสนอชื่อ “ไตรรัตน์” นั่งเลขาฯ ต่อบอร์ดกสทช. 23 ส.ค.นี้ ขณะที่ผู้สมัครไม่ผ่านการคัดเลือกส่งหนังสือโต้ประธานไม่เห็นด้วยกับอำนาจการคัดเลือก ควรส่งรายชื่อให้บอร์ดโหวต

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า วันที่ 23 ส.ค. 2566 นี้ การประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) กสทช.ที่มี ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. เป็นประธาน จะมีการเสนอวาระการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช.คนใหม่ ให้ที่ประชุมพิจารณา ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการและรักษาการเลขาธิการกสทช.

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ประธานกสทช. ได้ทยอยส่งหนังสือแจ้งผลการคัดเลือกเลขาธิการกสทช. ไปยังบุคคลที่สมัคร เพื่อแจ้งผล ไม่ผ่านการคัดเลือก ต่อผู้สมัครทั้ง 7 คน แล้ว โดยมีเนื้อหาส่วนหนึ่งว่า “ประธาน กสทช. ขอแจ้งให้ทราบว่า ท่านไม่ได้รับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและขอขอบคุณที่ท่านให้ความสนใจแสดงความประสงค์สมัครเข้ารับการคัดเลือกในตำแหน่งดังกล่าว” 

รู้ผลแล้ว “ไตรรัตน์” เข้าวินเลขาฯกสทช.ผู้สมัครร้องใช้อำนาจไม่เป็นธรรม

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้สมัครเลขาฯ ส่วนใหญ่ไม่พอใจ จึงได้มีการส่งจดหมายโต้แย้ง ถึง ประธาน กสทช ที่ใช้อำนาจมิชอบแต่เพียงผู้เดียวในการตัดสิทธิ์ผู้สมัครทั้ง 7 ราย โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของกรรมการ กสทช ท่านอื่นๆ ซึ่งเป็นการทำผิดหลักกระบวนการสรรหาเลขาฯ และหลักธรรมาภิบาล โดยเจตนาเหลือไว้เพียง นายไตรรัตน์ รายเดียว เท่านั้น

คำโต้แย้งของผู้สมัครรายหนึ่ง ระบุว่า “การพิจารณาคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการโดย ประธาน กสทช. เพียงคนเดียว ซึ่งตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 61 กำหนดให้ การแต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการ กสทช. กระทำโดยประธาน กสทช. โดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการ กสทช.

แสดงให้เห็นว่าการดำเนินการต้องมีลักษณะเป็น “คณะกรรมการ” ประกอบไปด้วย กรรมการ กสทช. จำนวน 7 คน โดยใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายผ่านการ “ลงมติ” โดยที่กรรมการ กสทช. 1 คนมี 1 เสียงในการลงคะแนน และเมื่อที่ประชุม กสทช. ได้คะแนนเสียงข้างมากของกรรมการ กสทช. ผู้มาประชุม หรือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการ กสทช. ทั้งหมด ฉะนั้นการที่จะตัดสินใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องมีการลงมติ จากคณะกรรมทั้งหมด มิใช่จาก ประธานเพียงแค่ท่านเดียว”

ด้านผู้สมัครอีกราย ให้เหตุผลในเอกสารว่า “อำนาจในการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. เป็นอำนาจของ กสทช. ทั้งคณะ มิใช่อำนาจของประธานกรรมการแต่ผู้เดียว ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ประกอบกับระเบียบ กสทช. ว่าด้วยการประชุม การคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. โดยหนังสือแจ้งผลการคัดเลือกดังกล่าวจึงไม่มีผลตามกฎหมาย 

ดังนั้น จึงขอให้ประธาน กสทช. ดำเนินการแก้ไขกระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช.ให้ถูกต้องภายใน 15 วัน โดยให้นำรายชื่อผู้สมัครที่ผ่านคุณสมบัติ ที่ได้มาแสดงวิสัยทัศน์ทุกคนและนำผลเข้าสู่การพิจารณาของ กสทช.ทั้งคณะ ตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง และขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป”

ส่วนอีกราย ระบุในเอกสารว่า “กระบวนการคัดเลือกดังกล่าว มีการปรับเปลี่ยนบ่อยครั้ง และขาดความชัดเจน อาทิ มีการขยายเวลารับสมัครตามที่ประกาศปรากฎอยู่ในสื่อสาธารณะหลังจากวันหมดเขตการรับสมัครในครั้งแรก ซึ่งอาจส่งผลถึงการได้เปรียบเสียเปรียบ

อีกทั้ง มีการเพิ่มขั้นตอนการพิจารณาโดยไม่เคยมีการแจ้งถึงการสัมภาษณ์และการแสดงวิสัยทัศน์ มาก่อน แต่กลับมาแจ้งภายหลังและกำหนดระยะเวลาแบบกระชั้นชิดและมีข้อจำกัดในการนำเสนอหลายประการ นอกจากนี้ ยังไม่มีการชี้แจงหรือประกาศผลการพิจารณาคัดเลือก ตามกระบวนการที่ควรจะเป็น”

“การพิจารณาและคัดเลือกเลขาฯ  กสทช.ต้องแสดงถึงหลักการและเหตุผลในการพิจารณา เกณฑ์การให้คะแนน ผลของการแสดงวิสัยทัศน์ และควรมีการพิจารณาประวัติการทำงาน เรื่องร้องเรียนต่างๆ และความสำเร็จที่ส่งเสริมการทำงานของ กสทช. ด้วย

กสทช. เป็นคณะกรรมการที่ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ได้บัญญัติให้มีการใช้อำนาจต่างๆ ในการออกกฎหรือคำสั่งทางปกครองใดๆ ต้องอยู่ในกรอบแห่งกฎหมายที่ต้องดำเนินการโปร่งใสและเป็นธรรม ตรวจสอบได้ ตามหลักธรรมาภิบาลของ กสทช. ไม่ใช่กระทำการให้เกิดข้อครหาเช่นครั้งนี้”