posttoday

สศช.ชี้ NPL บ้านต่ำ 3 ล้านพุ่ง หนี้เสียลามชนชั้นกลาง

27 พฤษภาคม 2567

จี้ปรับโครงสร้างหนี้ หลังหนี้กลุ่มนี้พุ่ง 7% แนะปรับเป็นรายบุคคล ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนด้อยลงทุกประเภท หนี้เสียธนาคารพาณิชย์ มีมูลค่า 1.58 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.88 ต่อสินเชื่อรวม

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 1/2567 โดยในส่วนของหนี้ครัวเรือนไทยที่มีข้อมูลจากไตรมาสก่อนมีมูลค่า 16.4 ล้านล้านบาท คิดเป็น 91.3% ต่อจีดีพี ขยายตัวชะลอลง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อด้อยลงในทุกประเภท

โดยมีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การติดตามแนวโน้มหนี้เสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะสินเชื่อวงเงินน้อยกว่า 3 ล้านบาท ที่สูงขึ้นจนน่าตกใจจาก -1.7% ในไตรมาสก่อน มา+ 7% ในไตรมาสนี้ 73.4% เป็นหนี้เสียของสินเชื่อบ้านที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งการแก้ปัญหาต้องทำโดยการประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้เรื้อรังเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินเชื่อ

ทั้งนี้ในภาพรวมหนี้ครัวเรือนขยายตัวชะลอลงเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ขณะที่สินเชื่อยานยนต์หดตัว ด้านความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนด้อยลงทุกประเภท โดยหนี้เสียของ ธนาคารพาณิชย์ มีมูลค่า 1.58 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.88 ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.79 ในไตรมาสก่อน

ทั้งนี้ สศช.ย้ำว่า ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่

1) แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงินน้อยกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนี้ของครัวเรือนรายได้ระดับปานกลางหรือล่าง โดยอาจต้องเฝ้าระวังและเร่งปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้กลุ่มนี้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสีย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ส่วนนี้มาจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจรวมกับภาวะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นซึ่งธนาคารต้องเข้าไปดูลูกหนี้ในส่วนนี้เป็นรายบุคคลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะมีปัญหาโดยสาระชอยังเน้นว่ายังไงต้องทำให้ซึ่งธนาคารต้องเข้าไปดูลูกหนี้ในส่วนนี้เป็นรายบุคคลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะมีปัญหาโดยเน้นว่ายังไงต้องทำให้คนนั้นยังมีบ้านในการอยู่อาศัยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลุกลามไปสู่ส่วนอื่น 

2) การเร่งรัดสถาบันการเงิน ประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มลูกหนี้เรื้อรังเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่งเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มษายน 2567โดยอาจต้องเร่งสื่อสาร พร้อมมีแนวทางการปิดจบหนี้ที่เหมาะสมกับลูกหนี้รายกรณี เพื่อให้การดำเนินมาตรการประสบความสำเร็จ และเกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน