posttoday

“สรรพสามิต” จัดเก็บรายได้ภาษี 9 เดือนปีงบ 67 เฉียด 4 แสนล้าน

08 กรกฎาคม 2567

“สรรพสามิต” เผย 9 เดือน ปีงบ67 จัดเก็บภาษีได้ 3.94 แสนล้าน อานิสงส์ภาษีเครื่องดื่ม-สุรา-เบียร์ ขยายตัวเพิ่ม มั่นใจสิ้นปีเก็บรายได้โต 12-13% อีก 1-2 เดือน เตรียมชง ครม. เคาะภาษีคาร์บอน

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงผลการจัดเก็บรายได้ในช่วง 9 เดือนของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.66-มิ.ย.67) ว่า กรมฯ สามารถจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 3.94 แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 4 หมื่นล้านบาท หรือ 12.3% มากกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ที่คาดว่าจะเติบโต 1-2% โดยเป็นผลมาจากการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่ขยายประมาณ 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงภาษีสุรา ภาษีเบียร์ ภาษีสนามกอล์ฟ ภาษีสถานบริการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 

 

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่า การเก็บรายได้ภาษียังต่ำกว่าเป้าหมาย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาภาระของประชาชน ทำให้กรมฯ สูญเสียรายได้ราว 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งภาษีน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ทั้งหมด


 

นอกจากนี้ ยังเป็นผลมาจากการจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่ต่ำกว่าเป้าหมายราว 2.5 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลดภาษีสรรพสามิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จาก8% เหลือ 2% โดยภาษีรถอีวีมีสัดส่วน 10% ของภาษีรถยนต์ทั้งหมด ขณะที่อีก 90% ของภาษีรถยนต์นั้น เป็นผลมาจากภาพรวมตลาดรถยนต์ที่หดตัวลงอย่างแรง โดยยอดการผลิตรถยนต์ลดลงจากปีก่อนราว 30% อีกทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้ขอสินเชื่อให้ปรับตัวลดลง โดยภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั้น คิดเป็น 20% ของการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ทั้งหมด ตลอดจนการชะลอตัวลงของภาษีสรรพสามิตยาสูบ ซึ่งรายได้หายไปประมาณ 8 พันล้านบาท

 

“ต้อมยอมรับตรง ๆ ว่า เรายังเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย แต่จะพยายามให้เต็มที่ โดยมั่นใจว่าสิ้นปีงบประมาณ 2567 การจัดเก็บรายได้ของกรมฯ จะเติบโตราว 12-13% จากปีก่อน ซึ่งจะมีการเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บรายได้มากขึ้น เพื่อมาชดเชยส่วนที่หายไปให้ได้มากที่สุด โดยปัจจุบันมีรายได้จากภาษีเครื่องดื่มที่ขยายตัวดีประมาณ 13% รวมถึงภาษีสุรา ภาษีเบียร์ ภาษีสนามกอล์ฟ ภาษีสถานบริการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น เชื่อว่าตรงนี้จะมีส่วนเข้ามาช่วยเสริม” นายเอกนิติ กล่าว


 

ทั้งนี้ กรมฯ อยู่ระหว่างการเร่งพิจารณาภาษีคาร์บอน ซึ่งในระยะยาวจะเป็นฐานภาษีตัวใหม่ที่เข้ามาช่วยเสริมบทบาทของกรมที่มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยขณะนี้ได้ดำเนินการพิจารณาเรื่องภาษีคาร์บอนไปแล้ว 80-90% หลักการ คือ กรมฯ จะเข้ามาช่วยสร้างกลไกราคาคาร์บอน ซึ่งภาษีคาร์บอนจะแทรกอยู่ในภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และการดำเนินการในช่วง 2 ปีแรก ยืนยันว่าจะไม่ให้กระทบกับประชาชนอย่างแน่นอน และไม่กระทบกับรายได้ของกรมฯ 

 

“ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งพิจารณารายละเอียด เบื้องต้นคาดว่าจะเสนอให้ครม.พิจารณาได้ภายใน 1-2 เดือน ซึ่งประโยชน์ของภาษีคาร์บอน ไม่เพียงแต่จะทำให้ประชาชนตระหนักรู้ว่า เราปล่อยคาร์บอนกันคนละเท่าไหร่ แต่ในมิติของโรงงานอุตสาหกรรมที่ส่งสินค้าไปยังยุโรปก็จะได้ประโยชน์ด้วย โดยกรมฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับกระทรวงพาณิชย์ ถึงกรณีที่โรงงานต่าง ๆ เช่น โรงงานเหล็กซื้อน้ำมันดีเซลไปหลอมเหล็กเพื่อส่งไปยุโรป ซึ่งหากปริมาณน้ำมันที่ใช้มีการเสียภาษีคาร์บอนกับกรมแล้ว ก็อยากให้สามารถนำไปหักกลบกับภาษี CBAM ที่ยุโรปจะเก็บในต้นปี 2569 ด้วย และจากการพูดคุยกับโรงกลั่นบางเจ้า ก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนและพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่” นายเอกนิติ กล่าว
 

นอกจากนี้ กรมฯ ยังอยู่ระหว่างเร่งศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีแบตเตอรี่ เพื่อเตรียมเสนอกระทรวงการคลังพิจารณา โดยปัจจุบันเก็บภาษีที่ 8% ทุกประเภทแบตเตอรี่ ซึ่งข้อสรุปเบื้องต้น คือ จะพิจารณาจากคุณภาพของแบตเตอรี่เป็นหลัก เช่น หากเป็นแบตเตอรี่คุณภาพสูง เก็บพลังงานได้เยอะ ชาร์จได้เกิน 1 พันรอบ มีความทนทาน ใช้ได้นาน ก็อาจจะเก็บภาษีในอัตราที่ถูกลง แต่หากเป็นแบตเตอรี่คุณภาพไม่สูง ก็อาจจะเก็บภาษีในอัตราที่แพงกว่า ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราภาษีที่จัดเก็บจะออกมาเป็นตารางตามคุณภาพของแบตเตอรี่