posttoday

เอกชนเชื่อ ครม.ชุดใหม่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ เร่งแจกเงินหมื่นกลุ่มเปราะบาง

05 กันยายน 2567

เผยนโยบายเร่งด่วน แจกเงินหมื่น กลุ่มเปราะบาง – แก้ปัญหาน้ำท่วม สร้างความเชื่อมั่นประชาชน จับตาทีมเศรษฐกิจนายกฯนั่งเองหรือไม่ พร้อมเปิด 5 ข้อเสนอแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ดึงเงินลงทุนต่างประเทศ – แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า กกร. รัฐบาลสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อย่างรวดเร็วนั้นจะช่วยเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา เอกชนทั้ง 3 สถาบัน ได้เข้าพบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแล้ว 

ทั้งนี้ เอกชนได้สรุปปัญหารุนแรงของประเทศไทยที่กำลังเผชิญ ได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือน 4% ต่อจีดีพี และ 27% ของครัวเรือนเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ โดยที่รุนแรงคือหนี้รถ หนี้บ้าน ,แผลเป็นด้านรายได้ ,เศรษฐกิจนอกระบบสูง ,ความไม่พร้อมในการก้าวสู่เศรษฐกิจใหม่และรายได้ไม่พอรายจ่าย ไม่มีเงินออม

พร้อมมีข้อเสนอ 5 แนวทาง ได้แก่ 1.ผันเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบ จะสร้างตัวคูณทางเศรษฐกิจได้สูง สร้างรายได้ให้ทันรายจ่าย 2.เติมเครื่องมือเพื่อช่วยให้ SME เพื่อให้ปรับตัวได้และเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อ 3.แก้หนี้ครัวเรือนและให้สินเชื่ออย่างยั่งยืน

4.เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการและก้าวทันกระแสโลก และ 5.เร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ด้วยการเร่งผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค สร้างความต่อเนื่องของโครงการ EEC

ที่ประชุม กกร. อยู่ระหว่างการเร่งจัดทำสมุดปกขาวให้แล้วเสร็จภายในเดือนก.ย. 2567 นี้ เพื่อนำเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

ส่วนการที่นายกฯ จะนั่งทีมเศรษฐกิจเองหรือไม่นั้น ต้องรอให้ท่านแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอย่างเป็นทางการ แต่สิ่งที่ท่านให้เอกชนเข้าพบก็เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีในหลายสิ่ง โดยเฉพาะการฟื้นตัวของตลาดเงินและตลาดทุน 

เขากล่าวต่ออีกว่า ภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ ต้องการให้รัฐบาลส่งผ่านเม็ดเงินให้ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะเกิดความกระชุ่มกระชวยให้กับฐานรากและสร้างโอกาส สร้างอารมณ์ให้ระบบเศรษฐกิจได้ดี 

ขณะที่นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานคณะกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนหลังจากจัดตั้งคณะรัฐบาลคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนคนไทยก่อน และเรื่องอื่น ๆ จะตามมา

นโยบายที่ต้องเร่งผลักดันคือเรื่องเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท แจกจ่ายให้ได้ก่อน เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน รวมถึงการดูแลค่าครองชีพ และการจัดการปัญหาเรื่องน้ำก็สำคัญ ขณะเดียวกันจะต้องมีการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณของปี 2567 ให้ครบถ้วน และต่อเนื่องในปี 2568 จะต้องอยู่ในกำหนดเวลา 

ยอมรับว่า ขณะนี้ในตลาดไม่มีเงินหมุนเวียน หากมีเงินอัดฉีดเข้าไปในระบบ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ การกำหนดเงื่อนไขการแจกเงิน 1 หมื่นบาทนั้น เอกชนเคยให้ข้อเสนอไปแล้วคือต้องการให้แจกกลุ่มที่เปราะบางก่อน ซึ่งกลุ่มผู้พิการก็จะรวมอยู่ในนี้ หากยังมีเงินเหลือและต้องการจะแจกให้ครบถ้วนในกลุ่มอื่น ๆ นั้นก็ต้องรอรัฐบาลแถลงก่อน

เอกชนมองว่ารัฐบาลเป็นเอกภาพพอ อีกทั้ง ยังมีจำนวนเสียงในสภาฯ ถือเป็นเสียงที่เพียงพอแล้ว ดังนั้น ในส่วนนี้จะต้องดูว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เพราะเป็นส่วนสำคัญที่สุด    

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวขอเสนอรัฐบาลว่าควรต้องมีรองนายกฯ เป็นหัวหน้าทีมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากตัวอย่างที่ หอการค้าฯ ได้ขอเข้าหารือกับรัฐบาลในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 อดีตรองนายกฯ สามารถพาเอกชนเดินทางเพื่อขอความช่วยเหลือจากประเทศจีนเพื่อขอให้นำผลไม้ เช่น ทุเรียนเข้าไปในช่วงโควิด ซึ่งช่วงนั้นจีนไม่ให้นำเข้าเลย แต่ด้วยสถานะรองนายกฯ ที่หารือกับระดับผู้นำประเทศด้วยกันก็สามารถสรุปได้ใน 3 วัน เป็นต้น 

นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากให้เทียบคณะรัฐมนตรี ชุดปัจจุบันกับชุดที่แล้ว ชุดนี้น่าจะใสกว่า นอกจากนี้ การที่ ส.อ.ท. ได้เข้าพบกับนายกฯ ได้มีการนำเสนอในหลายเรื่อง เช่นเรื่องของค่าไฟฟ้า ซึ่งภาครัฐก็ได้สนองตอบ โดยค่าไฟฟ้าที่ภาคอุตสาหกรรมที่จะต้องจ่ายราว 3-4 หมื่นล้านบาท ก็ได้รับการจ่ายคืนแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้เอกชนมีกระแสเงินสดและการทำธุรกิจคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ต้องขอขอบคุณรัฐบาลด้วย

กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์น้ำและอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนบนที่ โดยคาดว่ามูลค่าความเสียหาย สำหรับช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.จะอยู่ที่ประมาณ 6,000-8,000ล้านบาท หรือ 0.03-0.04% ของจีดีพี ซึ่งภาคเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนในระยะถัดไปต้องติดตามพายุที่อาจจะเข้าได้ช่วงเดือนก.ย.-ต.ค.นี้ ถือเป็นความเสี่ยงต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม

อีกทั้ง ที่ประชุมมีความกังวลต่อสถานการณ์น้ำและอุทกภัยที่เกิดขึ้น เป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม นอกเหนือจากอุปสงค์ภายในประเทศของไทยยังอ่อนแรงสะท้อนจากการลงทุน แม้รัฐจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณลงทุน ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเติบโตเฉลี่ยได้กว่า 20% ในช่วงเดือนพ.ค.-ก.ค.ที่ผ่านมา แต่เศรษฐกิจไตรมาส 2/2567 ยังชะลอตัว

โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนหดตัวมากถึง 6.8% เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในประเทศลดลงถึง 24% ส่วนการลงทุนในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอ สะท้อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ปรับลดลงต่อเนื่อง กกร.จึงยังคงคาดการณ์อัตรการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ 2.2-2.7%

ดังนั้น จึงมีมติให้จัดตั้งคณะทำงานย่อยจัดทำข้อเสนอด้านการบริหารจัดการน้ำ เพื่อเสนอต่อภาครัฐ โดยเน้นการวางแผนระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำรอยเหมือนปี 2554 เน้นการพัฒนาแหล่งน้ำและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำทั่วประเทศ เพื่อให้การบริหารน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม และเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บน้ำ

อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง สหรัฐส่งสัญญาณพร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ค่าระวางเรือยังสูงกว่าภาวะปกติ 3 เท่าตัวเป็นปัจจัยลบต่อการค้าโลก แต่การส่งออกของไทยในเดือนก.ค.เติบโตถึง 15.2% จากแรงหนุนของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ของโลก และคาดว่าทั้งปีไทยจะส่งออกได้ 1.5-2.5% สูงกว่าประมาณการเดิมคาดไว้ที่ 0.8-1.5% แต่การเติบโตดังกล่าวยังกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้าง

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ข้อเสนอของสภาอุตสาหกรรม ขอให้นายกรัฐมนตรี และทีมรัฐบาล ขับเคลื่อน 5 เรื่องเร่งด่วน และ 3 เรื่องระยะยาว โดยมุ่งแก้ไขปัญหาสินค้าราคาถูกนำเข้าจากจีน ลดต้นทุนไฟฟ้า-พลังงาน และเติมเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ 1 แสนล้านบาท ให้ SME เพื่อเสริมสภาพคล่อง

ส่วนมาตรการระยะยาว ขอให้ช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ขอให้กระทรวงต่างๆ เร่งแก้กฎหมายซ้ำซ้อน ที่ขณะนี้มีมากกว่า 1 แสนฉบับ เพื่อเอื้อให้เอกชนทำงานง่ายขึ้น แต่เอกชนย้ำว่า ปัญหาเร่งด่วนขณะนี้ คือการทุ่มตลาดของสินค้าจีน