posttoday

"พิชัย" มั่นใจเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง ไม่ถูกปรับลดเครดิต

22 ตุลาคม 2567

พิชัย รมว.คลัง เชื่อไทยไม่ถูกลดเครดิตเรตติ้ง ชี้เศรษฐกิจไทยมีแววโตต่อเนื่อง แถมเนื้อหอมมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศปี 67 ทำลายสถิติ 10 ปี ลุยกระตุ้นการลงทุน ดันเศรษฐกิจโตแข็งแกร่ง

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่าไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกลดเครดิตเรตติ้ง จากปัจจุบันที่ระดับ BBB+ มุมมอง Stable Outlook ว่า มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของการวิเคราะห์ ซึ่งความเสี่ยงของเครดิตเรตติ้งก็ขึ้นอยู่กับข้อสมมุติฐานทางเศรษฐกิจ โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามเรื่องการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนจากตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 ที่ทำลายสถิติ 10 ปี และหากรวมตัวเลขขอรับส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ปี 2565-2567 จะมีเม็ดเงินมากกว่า 2 ล้านล้านบาท ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าต่างประเทศยังสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่ และเม็ดเงินเหล่านี้จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จะเป็นผลให้เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น 

 

      ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเร่งสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนให้เกิดการลงทุนซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานตามมา มาตรการสนับสนุนการบริโภค รวมถึงอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องการจัดตั้งกองทุนอินฟราสตรัคเจอร์ ฟันด์ เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนสำคัญอย่าง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งค้างมาตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จำเป็นเพราะจะช่วยทำให้เศรษฐกิจโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเติบโตได้เป็นอย่างดี เป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อประเทศ เพราะมีเม็ดเงินลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท

 
 เรื่องนี้ความเสี่ยงของเครดิตเรตติ้ง ขึ้นอยู่กับข้อสมมุติฐาน ถ้าเราเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่า 3% ไปเรื่อย ๆ ตรงนี้มันก็จะมีผลไปถึงเรื่องหนี้ครัวเรือน หนี้เอสเอ็มอี ที่การแก้ไขก็จะยาก เพราะเรื่องเหล่านี้ต้องพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจจริง ๆ ตลอดจนหนี้สาธารณะ ซึ่งในระยะยาวรัฐบาลต้องการทำให้สมดุลให้ได้ แต่ในระยะสั้นก็ต้องทำให้การขาดดุลสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้เมื่อการขาดดุลของประเทศเป็นแบบนี้แล้ว การแก้ปัญหาไม่สามารถทำได้แค่ 1-2 ปี เพราะเราอาจจะไหวตัวช้าไปนิด ก็ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ก็ต้องยอมรับสภาพ แต่หลังจากนี้ก็ต้องช่วยกันแก้ไขต่อไป 


 

     ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ คือการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการลงทุนต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่เศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ เติบโตไปอย่างต่อเนื่อง การจะมาพูดว่าเศรษฐกิจโตที่ 2% กว่า แล้วอยู่ ๆ เติบโตแบบก้าวกระโดดไปที่ 4% คงเป็นไปไม่ได้ เรื่องตัวเลขการเติบโตต่าง ๆ ต้องมีที่มาที่ไปที่ชี้แจงได้อย่างชัดเจนด้วย 


      นอกจากนี้ มองว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะไม่ได้พิจารณาแค่ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังมีประเด็นเรื่องความแน่นอน และความชัดเจนทางการเมืองที่จะถูกหยิบยกขึ้นไปพิจารณาด้วยิ ดังนั้นมองว่าหากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดก็ตามสามารถทำหน้าที่บริหารประเทศได้ต่อเนื่องนาน ๆ ทำงานได้อย่างต่อเนื่องน่าจะเป็นปัจจัยที่ดีกว่า ซึ่งส่วนตัวหวังว่าที่ผ่านมาประเทศไทยน่าจะได้เรียนรู้อะไรมาหลายอย่างแล้ว และคิดว่าน่าจะถึงจุดที่ประเทศไทยจะต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้แล้ว 

 เวลาผมทำงาน ผมก็กังวลทุกเรื่อง แต่ผมมานั่งคิดดูแล้ว ผมไม่เห็นว่าประเทศไทยจะมีอะไรด้อยกว่ามาเลเลยเลย อาจจะมีแค่เรื่องเดียวคือ ความชัดเจนของการลงทุนใหม่ หากเราสามารถทำตรงนี้ได้ก็จะสามารถตอบได้ว่าในระยะต่อไปการลงทุนจะมาแน่ แต่เชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น สะท้อนจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ก็กำไรดี และจะได้เห็นอย่างอื่นดีตามมาในไตรมาส 4/67

 

      หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอนนอกประเทศ ทิศทางเงินเฟ้อไม่ขึ้น หลายประเทศยังต้องการนลดดอกเบี้ย สิ่งที่ตามมาคือตลาดทุนจะมีความตื่นตัว ทุกอย่างจะเป็นไปในทิศทางที่ดี ซึ่งไทยถือเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่เราก็หวังว่าหลังจากนี้จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอีก


       อย่างไรก็ดี ในส่วนที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปีนั้น ส่วนตัวตอบได้ว่าเมื่อลดดอกเบี้ยลงแล้วก็ดีใจแทนทุกคนด้วย เพราะคนที่มีหนี้ก็จะได้จ่ายหนี้น้อยลง ส่วนเรื่องค่าเงินบาทก็จะแข็งค่าลำบากมากขึ้นเล็กน้อย ทุกอย่างจะเกื้อหนุนกัน และทุกอย่างกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี ส่วนการประชุม กนง. ครั้งสุดท้ายของปี 2567 ในวันที่ 18 ธ.ค. นั้นจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกหรือไม่ คงไม่สามารถตอบได้ ต้องดูตามสถานการณ์ แค่ กนง. ลดดอกเบี้ยให้ครั้งนี้ก็ดีใจแล้ว 

 

       ด้านนายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน. ขอชี้แจงและยืนยันว่า ยังไม่มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ อีกทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศมีความแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ โดยข้อเท็จจริงจากการเผยแพร่รายงานการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศที่จัดทำโดย บริษัท S&P Global (S&P) และบริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) ที่มีการเผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2566  และวันที่ 11 เม.ย. 2567  ตามลำดับ ซึ่งเป็นรายงานบทวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความเป็นปัจจุบันมากกว่าที่ศูนย์วิจัยฯ ภาคเอกชนดังกล่าวนำมาอ้างอิง 
 
 

       ที่ผ่านมาศูนย์วิจัยฯ ภาคเอกชนได้เผยแพร่บทวิเคราะห์และนำเสนอประเด็น “ไทยเสี่ยงถูกลดเครดิตเรตติง” โดยอ้างอิงข้อมูลจากรายงานการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท Fitch Ratings เป็นการวิเคราะห์บนพื้นฐานข้อมูลในรายงานของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเพียงรายเดียว โดยที่ไม่มีการนำข้อมูลจากทั้งจาก S&P  และ Moody’s มาพิจารณาประกอบการจัดทำบทวิเคราะห์ด้วย ซึ่งทาง สบน. ได้มีหนังสือแจ้งหน่วยงานกำกับดูแลและศูนย์วิจัยฯ ดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2567 ภายหลังพบว่าได้แก้ไขปรับเปลี่ยนหัวเรื่องบทวิเคราะห์จาก “ไทยเสี่ยงถูกลดเครดิตเรตติง จาก BBB+ หรือไม่” เป็น “ปัจจัยท้าทายความเสี่ยงเครดิตเรตติงไทย” เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2567 พร้อมกับได้เผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ของศูนย์วิจัยฯ แล้ว