"เผ่าภูมิ" สั่ง สรรพสามิต ศึกษาเก็บภาษีโซเดียม-ไขมัน หนุนคนไทยลดบริโภคเค็ม
เผ่าภูมิ รมช.คลัง มอบนโยบาย สรรพสามิต ใช้ภาษีขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ ลุยศึกษาเก็บภาษีโซเดียม-ไขมัน ตั้งเป้าคนไทยลดบริโภคเค็มลง 30% ภายในปี 68 ย้ำต้องไม่เดือดร้อนประชาชน
นาย เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้ามอบนโยบายแก่กรมสรรพสามิต โดยมีอธิบดี คณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต ให้การต้อนรับและรับมอบนโยบาย โดยต้องการให้กรมสรรพสามิตเป็นกลไกและรักษาสมดุลด้านภาษีระหว่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน ธรรมาภิบาล และรายได้การจัดเก็บ โดยมีสาระสำคัญดังนี้
ยานยนต์ ใช้กลไกภาษีกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบ โดยเฉพาะการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งมีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมจากอุตสาหกรรมขนาดเล็กถึงใหญ่ รวมถึงการจ้างงาน โดยใช้ภาษีสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนผลิต PHEV BEV และ FCEV ให้เพิ่มขึ้นในประเทศ แต่ยังคงรักษาฐานการผลิตรถยนต์ ICE และ HEV ไว้ อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องกำหนดเวลาชัดเจน และให้แนวทางว่ากรมสรรพสามิตสามารถสูญเสียรายได้ในระยะสั้น เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมในระยะยาว ซึ่งเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจประเทศได้
น้ำมัน กำหนดกลไกราคาคาร์บอนในภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน 6 ประเภท ซึ่งไทยจะเป็นประเทศที่ 2 ในอาเซียน โดยคำนวณจากค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเบื้องต้นกำหนดราคาคาร์บอนที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือกระบวนการผลิตที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ โดยต้องไม่ให้กระทบต่อราคาพลังงาน
ยืนยันชัดเจนว่าการจัดเก็บภาษีคาร์บอนที่จะแทรกอยู่ในภาษีน้ำมันนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนแม้แต่บาทเดียว โดยจะแบ่งสัดส่วนชัดเจน คือ ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง และใส่ภาษีคาร์บอนเข้าไป เช่น น้ำมัน 1 ยูนิต เสียภาษีสรรพสามิต 6 บาท เราจะทำให้ภาษีสรรพสามิตลดเหลือ 5.5 บาท และอีก 0.5 บาท คือภาษีคาร์บอนที่จะใส่เพิ่มเข้าไป แต่รวมแล้วอัตราภาษีสรรพสามิตจะอยู่ที่ 6 บาทเท่าเดิม จึงไม่กระทบกับราคาขายปลีกของสินค้าพลังงาน ซึ่งกลไกนี้จะนำไปสู่การมีพลังงานที่สะอาดขึ้น นำไปสู่แรงจูงใจในการบริโภคน้ำมันที่สะอาดขึ้นด้วย โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาขั้นสุดท้าย คาดว่าจะสามารถเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ในไม่ช้า
สุขภาพประชาชน ใช้กลไกภาษีเพื่อสนับสนุนการแพทย์เชิงป้องกัน ลดการบริโภคอาหารที่เป็นโทษต่อสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ลดภาระงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยดำเนินการจัดเก็บภาษีความหวานแบบผสมต่อเนื่อง และเข้าสู่เฟส 4 ตามกำหนดเวลา ให้กรมสรรพสามิตศึกษาพิจารณากลไกภาษีโซเดียมในสินค้าบางประเภทที่ไม่อยู่ในสินค้าควบคุม รวมทั้งภาษีไขมัน กเพื่อปรับพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมและไขมัน ตั้งเป้าคนไทยลดบริโภคเค็มลง 30% ภายในปี 2568 ทั้งนี้ต้องมีระยะเวลาก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้ให้ผู้ประกอบการปรับตัว
เรื่องภาษีโซเดียมจะต้องให้ไปพิจารณาข้อดี ข้อเสีย และจะใช้กับสินค้าใดก่อน โดยอาจจะเริ่มเก็บกับสินค้าที่กระทบประชาชนน้อยที่สุด ส่วนสินค้าที่มีผลต่อการดำรงชีพจะมีการพิจารณาในขั้นต่อ ๆ ไป เช่นเดียวกับภาษีไขมัน เพราะบนฉลากอาหารยังไม่ได้มีการระบุว่ามีไขมันดี และไขมันไม่ดีเท่าไหร่ ก็ต้องไปร่วมกับสาธารณสุข เพื่อดูในส่วนนี้อย่างละเอียด
แบตเตอรี่ ให้ศึกษาพิจารณาเปลี่ยนจากอัตราคงที่ 8% เป็นอัตราแบบขั้นบันได โดยคำนึงถึงปัจจัย Life Cycle และค่าพลังงานจำเพาะต่อน้ำหนัก รวมถึงชนิดของแบตเตอรี่ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สะอาด อุตสาหกรรมรถยนต์ EV
บุหรี่ ให้จัดเก็บภาษีแบบผสม โดยพิจารณาและศึกษาความเหมาะสมในการปรับปรุงโครงสร้างภาษีบุหรี่แบบอัตราเดียว (Singler Rate) เพื่อลดการบิดเบือนกลไกราคา โดยให้พิจารณาปัจจัยความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการและสนับสนุนผู้เพาะปลูกใบยาสูบในประเทศด้วย รวมทั้งดำเนินการระบบตรวจ ติด ตาม บุหรี่ โดยใช้ระบบ QR Code ในบุหรี่ เพื่อป้องกันบุหรี่เถื่อนทั้งระบบ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษีและแหล่งที่มาของบุหรี่เพื่อมั่นใจได้ว่าได้มาตรฐานและตรวจสอบโดยกรมสรรพสามิต
สำหรับผลการดำเนินงานของกรมสรรพสามิตปีงบประมาณ 2567 สะท้อนถึงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่สูงกว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนั้นยังสะท้อนถึงการใช้จ่ายในประเทศที่ดีขึ้นตามการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าและบริการในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ภาษีเครื่องดื่ม ขยายตัวสูงถึง 8% ภาษีกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ (ไนต์คลับและดิสโกเธค) และภาษีสนามกอล์ฟ จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น 31.3% และ 12.4% ขณะที่ การจัดเก็บภาษีแบตเตอรี่ สูงขึ้นกว่าปีก่อน 15.6% ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่มีการเติบโตขึ้นซึ่งในปีงบประมาณ 2567 กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้ 523,676 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 9.8% จากปีก่อน