คลัง รื้อจีดีพีปี68 ใหม่ หลังผลกระทบ "นโยบายทรัมป์" ชัดไตรมาส 1-2
"คลัง" จ่อทบทวน GDP ปี68 ใหม่ หลังคาดการณ์เอฟเฟค นโยบาย"ทรัมป์" กระทบเศรษฐกิจโลกช่วงไตรมาส1-2 ปี 68 ฉุดเศรษฐกิจจีนตกต่ำ กระทบส่งออก-ท่องเที่ยวไทย หวั่นสหรัฐลดลงทุน FDI พร้อมแนะผู้ส่งออกเร่งหาตลาดใหม่รับมือการค้า 2 ขั้ว
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะและครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น สศค.ได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จากแนวนโยบายการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไว้เบื้องต้นแล้ว โดยประเมินว่า การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ อาจจะได้รับผลกระทบ และไทยอาจต้องเร่งหาตลาดใหม่ หรือขยายตลาดในประเทศอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายการคุ้มครองของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน มองว่า จากปัญหาสงครามการค้าที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับไทย และอาจทำให้ความต้องการสินค้าไทยในภูมิภาคลดลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยด้วย รวมทั้งสหรัฐฯ อาจลดการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ไทยอาจได้รับผลกระทบการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ (FDI) น้อยลง โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ส่วนค่าเงินบาทจะผันผวนและอ่อนค่าลงซึ่งจะเพิ่มต้นทุนนำเข้า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าวัตถุดิบที่ไทยยังต้องพึ่งพาจากต่างประเทศ ส่วนอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Vields) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดพันธบัตรไทยไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น
นอกจากนี้ มองว่า มีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คาด หรืออาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรับมือกับเงินเฟ้อจากการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้อาจจะได้เห็นเงินทุนไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ เช่น ไทย และเกิดการย้ายฐานการผลิตกลับไปในสหรัฐฯ แทน ส่วนอุตสาหกรรมทไยที่พึ่งพาวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ก็อาจจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น
การชนะการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้น อาจจะเป็นผลทำให้ตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี หากนายโดนัลด์ ทรัมป์สามารถสร้างนโยบายที่ชัดเจนก็น่าจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ท่ามกลางวิกฤตยังมีโอกาสของเศรษฐกิจไทยต่อนโยบายการบริหารประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมองว่าไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันการกีดกันสินค้าจากจีน อาจเพิ่มความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารจากไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารแช่แข็งซึ่งถือเป็นโอกาสที่สำคัญ รวมถึงไทยยังสามารถขยายการลงทุนและส่งออกในกลุ่มสินค้าพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทย ควรปรับตัวและเตรียมพร้อมเพื่อรับมือความท้าทายดังกล่าว โดยเร่งขยายตลาดส่งออกใหม่เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และจีน มุ่งเน้นขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อาหารสุขภาพและผลิตภัณฑ์เกษตรคุณภาพสูง รวมทั้งเร่งส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อตอบสนองตลาดโลกที่ต้องการสินค้าคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีคาร์บอนเครดิตซึ่งสามารถใช้ในธุรกิจส่งออกและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพแรงงานที่มีทักษะสูง โดยเน้นที่ทักษะเทคโนโลยีชั้นสูงและการผลิตอัตโนมัติ จะช่วยให้ไทยมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนและสร้างโอกาสในการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค
สศค. ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ระดับ 3% โดยยังไม่ได้นำปัจจัยนโยบายด้านการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปสู่การประเมิน เนื่องจากมองว่าแม้สหรัฐจะเร่งผลักดันมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมา ก็น่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในทันที โดยน่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาส 1-2/2568 จึงจำเป็นต้องรอดูผลกระทบจากมาตรการด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยว่าจะมาในมิติใดบ้าง
สำหรับนโยบายการค้า 5 ด้านของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อาทิ การค้าและภาษีนำเข้า โดยเสนอให้สหรัฐเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 60% ส่วนประเทศอื่นๆ เสนอเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10%-20%, สนับสนุนให้การค้าระหว่างประเทศเป็นระบบต่างตอบแทน , พยามเพิ่มอำนาจของประธานาธิบดีให้มีอำนาจเหนือธนาคารกลาง (เฟด) เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายการเงิน โดยขึ้นดอกเบี้ยสูงเพื่อคุมเงินเฟ้อ , ปรับลดอัตราภาษีธุรกิจลงไปอยู่ที่ 15% ถึง 20% จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่อัตรา 21% ซึ่งเป็นอัตราที่ปรับลดลงมาจาก 34% ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก