posttoday

'พิชัย'หรือหาทูตอินเดียจ่อตั้ง JTC ลดอุปสรรคการค้าขยายลงทุน2ชาติ

09 มกราคม 2568

รมว.พาณิชย์"พิชัย นริพทะพันธุ์” หารือทูตอินเดีย เตรียมตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระหว่างรัฐมนตรีการค้าสองประเทศ เพื่อเร่งลดอุปสรรคการค้า-ขยายการลงทุน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 ตนได้พบหารือกับ นายนาเกช ซิงค์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทยซึ่งได้หารือถึงแนวทางขยายการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดีย โดยเห็นพ้องที่จะร่วมกันลดอุปสรรคการค้าเพื่อความคล่องตัวในการค้าขายระหว่างกัน 

รมว. พาณิชย์ กล่าวว่า อินเดียถือว่าเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก และมีการขยายตัวของ GDP เฉลี่ยร้อยละ 7 – 8 และที่ผ่านมาพบว่ามีการค้าการลงทุนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับจีน จึงอยากให้มีการยกระดับการเจรจาในรูปแบบ JTC หรือ คณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างกัน โดยเอกอัครราชทูตอินเดียจะไปเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ เพราะยังมีข้อตกลงเล็กน้อย ระหว่างไทยกับอินเดียที่ยังตกลงกันไม่ได้ คาดจะมีการเจรจากันได้ภายใน 2-3 เดือนนี้ ก่อนที่นายนเรนทรา โมที นายกรัฐมนตรีของอินเดียจะเดินทางมาเยือนไทยในช่วงกลางปีนี้ อยากให้ไทยเป็นจุดเชื่อมให้อินเดียในการเปิดประตูการค้าสู่ภูมิภาคอาเซียนและจีนได้

โดยไทยได้ขอให้อินเดียเร่งรัดกระบวนการออกใบรับรองมาตรฐานของสำหรับสินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ เครื่องปรับอากาศ เม็ดพลาสติก ไม้พาทิเคิลบอร์ด ไม้เอ็มดีเอฟ และเส้นใยเรยอน และลดข้อจำกัดในการออกใบอนุญาตนำเข้ายางล้อและโทรทัศน์สี นอกจากนี้ ได้แสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนและร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อให้การเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน – อินเดีย สรุปผลอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2568 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเสนอแนะให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณาสานต่อการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย – อินเดีย เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนให้ขยายตัวตามศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของไทยและอินเดีย สอดรับกับนโยบายรัฐบาลไทยที่จะยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) กับอินเดีย ทั้งยังได้เชิญชวนนักลงทุนอินเดียเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยเฉพาะการจัดตั้ง Data Center

\'พิชัย\'หรือหาทูตอินเดียจ่อตั้ง JTC ลดอุปสรรคการค้าขยายลงทุน2ชาติ

นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นควรที่จะจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระหว่างรัฐมนตรีการค้าสองฝ่าย เพื่อหารือเชิงนโยบายครอบคลุมเศรษฐกิจการค้าในหลายมิติ ทั้งการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน เนื่องจากการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดียมีมูลค่าการค้าสูงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น มีกลไกความตกลงการค้าเสรีทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ซึ่งการขับเคลื่อนและผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการอำนวยความสะดวกทางการค้าในระดับนโยบายจะเอื้ออำนวยประโยชน์และเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  

นอกจากนั้น ไทยและอินเดียยังเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าขั้นกลางอาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกล ชิ้นส่วนรถยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สิ่งทอ และไม้แปรรูป ซึ่งเป็นสินค้าศักยภาพที่มีความเกื้อกูลกันของทั้งสองประเทศ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน เสมือนเป็นฐานการผลิตเดียวกันในภูมิภาค

\'พิชัย\'หรือหาทูตอินเดียจ่อตั้ง JTC ลดอุปสรรคการค้าขยายลงทุน2ชาติ

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าทั้งในไทยและอินเดีย เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ขยายโอกาสทางการค้า และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการค้าระหว่างทั้งสองประเทศขณะเดียวกัน สองฝ่ายเห็นควรเร่งสนับสนุนระบบชำระเงินข้ามแดนระหว่างพร้อมเพย์ของไทยและ UPI ของอินเดีย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้จ่ายของผู้บริโภค และเป็นเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ 

โดยอินเดียเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567(ม.ค.-พ.ย.) การค้ารวมมีมูลค่า 15,797.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 6.06 แบ่งเป็นการส่งออกไปอินเดียมูลค่า 10,497.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และการนำเข้าจากอินเดียมีมูลค่า 5,299.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญจากอินเดียอาทิ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช และสินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์โดยไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 5,197.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ