posttoday

คลัง รับร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ฯ ฉบับ กฤษฏีกา เข้าครม. ก่อนส่งสภาปรับแก้

21 กุมภาพันธ์ 2568

คลัง ยอมรับร่างแก้ไข พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของ กฤษฎีกา ที่ว่างเงื่อนไขขวางคนไทยเข้ากาสิโน ต้องมีเงินในบัญชี 50 ล้านบาทติดต่อ 6 เดือน เข้าครม. ก่อนส่งสภาฯ ปรับเงื่อนไขให้สมดุล

ในขณะที่ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่การปรับตัวของประเทศไทยในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผ่านร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนที่เต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัย

 

ทั้งในแง่ของการพัฒนาเศรษฐกิจจากการสร้างโอกาสสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลก รวมถึงการเปิดเสรีกิจกรรมกาสิโนในบางพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนมองว่าเป็นธุรกิจทางการเมืองที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ และธุรกิจสีเทา สุดท้าย ร่างกฎหมายที่มีกาสิโนรวมอยู่ด้วยฉบับนี้ จะออกมาในรูปแบบไหน

 

ประเด็นที่ยังเป็นข้อขัดแย้งระหว่างร่าง ที่กระทรวงการคลังเสนอ กับ ร่าง ที่กฤษฏีกา เปิดเผยออกมา ที่เป็นประเด็นสำคัญ คือ เงื่อนไขสำหรับคนไทยที่จะเข้ามาใน “กาสิโน”

เดิมร่างกระทรวงการคลังกำหนดเพียง อายุไม่ถึง 20 ปี ห้ามเข้า และต้องเสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 5,000 บาท ส่วนร่างของ กฤษฏีกา กำหนด ต้องมี เงินฝากในบัญชี 50 ล้านบาท ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน 

 

การปรับเงื่อนไขดังกล่าว ทำให้กระทรวงการคลัง โดยเฉพาะ นายจุลพันธ์  อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะเกรงว่า ไม่แก้ปัญหาเรื่องการพนันผิดกฎหมาย เพราะจำนวนคนที่เข้าเงื่อนไขมีประมาณ 10,000 บัญชีเท่านั้น โดยจะหารือกับ กฤษฏีกาหาทางออกในเรื่องนี้อีกครั้ง 

 

ล่าสุด นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้บอกเล่าถึงความคืบหน้าของร่างกฎหมาย "ร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" กับสำนักข่าวโพสต์ทูเดย์ว่า 

ขณะนี้ร่างยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งต้องให้เวลากฤษฎีกาเป็นผู้ปรับปรุงรายละเอียดแก้ไขร่างกฎหมายตามความเหมาะสม และสุดท้ายแล้วการกำหนดแนวทางและเนื้อหาหลักของร่างกฎหมายต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

 

หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสื่อในขณะนี้ คือ ข้อกำหนดให้ผู้เล่นต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน ถึงจะสามารถเข้าใช้บริการในส่วนของกาสิโนได้ และล่าสุด ตนได้มีการหารือกับกฤษฎีกาในประเด็นนี้แล้ว

 

ความเข้าใจว่ากฤษฎีกาให้ความสำคัญในมิติการป้องกันไม่ให้คนไทยติดการพนัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

 

ดังนั้นเราต้องหาจุดสมดุลร่วมกันในสังคม ซึ่งประเด็นนี้ต้องกลับไปพิจารณาต่อไป โดยร่างกฎหมายจะสามารถส่งกลับมายังคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้หลังจากการพิจารณาของกฤษฎีกา และการกำหนดหลักคิดและเนื้อหาหลักในร่างกฎหมายก็ไม่ได้อยู่ในมือของเรา แต่จะอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรที่จะต้องแก้ไขกฎหมายต่อไป

ถามว่ารัฐบาลจะคงยึดหลักการตามร่างกฎหมายเดิมหรือไม่ สุดท้ายเห็นว่าเราควรยึดตามความเห็นที่กฤษฎีกาส่งมา ส่งมาแบบไหนเราก็ส่งครม.ไปแบบนั้น และก็ไปว่ากันที่สภาฯ แก้ไขต่อไป

ในส่วนของกิจกรรมกาสิโนในโครงการสถานบันเทิงครบวงจร กฤษฎีกาได้กำหนดข้อจำกัดว่าพื้นที่ที่ใช้สำหรับกาสิโนจะไม่เกิน 10% ของพื้นที่ทั้งหมดในโครงการ ซึ่งเกณฑ์นี้คล้ายคลึงกับที่ใช้ในหลายประเทศที่มีการเปิดเสรีกาสิโน โดยนายจุลพันธ์กล่าวว่า "ในต่างประเทศ สัดส่วนของพื้นที่สำหรับคาสิโนจะอยู่ที่ประมาณ 3-5% ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม"

 

แต่ในทางปฏิบัติเราไม่สามารถกำหนดพื้นที่เต็มเพดาน 10% เพราะพื้นที่กาสิโนไม่ใช่พื้นที่ที่ทำรายได้มากที่สุด ซึ่งการดึงดูดคนให้เข้าสถานบันเทิงครบวงจรเป็นหลักขึ้นอยู่ที่องค์ประกอบอื่นๆ

ที่ผ่านมากระทรวงการคลังไม่ได้มีการกำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนไว้ในร่างกฎหมาย แต่สัดส่วนที่ทำให้ธุรกิจกาสิโนเดินหน้าได้ ตามมาตรฐานทั่วโลกจะอยู่ที่ 3-5% บวกลบเล็กน้อย ซึ่งสัดส่วนที่ 10% เราก็โอเค

แม้ว่าภายหลังอาจมีการปรับเปลี่ยนตัวเลขเหล่านี้ให้ชัดเจนขึ้น แต่การกำหนดขอบเขตนี้ยังคงเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อไม่ให้กิจกรรมการพนันกลายเป็นปัจจัยหลักในโครงการสถานบันเทิงครบวงจร

 

นายจุลพันธ์คาดว่า กฤษฎีกาจะส่งร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไปที่ครม. ภายในต้นเดือนมีนาคมนี้ หรือประมาณ 4 มีนาคม ตามกระแสข่าวออกมา แต่ร่างจะเข้าสู่การพิจารณาของครม.วันไหนนั้น ขึ้นอยู่กับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้พิจารณา

 

หลังจากนั้น ร่างกฎหมายจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาฯ ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับเนื้อหาและทิศทางของกฎหมายนี้

 

สุดท้าย การพิจารณาร่างกฎหมายนี้จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสภาผู้แทนราษฎร และสิ่งที่เราต้องทำคือจับตาดูว่าจะมีการปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนอะไรในร่างกฎหมายนี้บ้าง เพื่อให้ตอบสนองทั้งความต้องการของเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคมได้อย่างเหมาะสม