ร่างกฎหมายไปรษณีย์ใหม่ ผู้ประกอบการต้องขอใบอนุญาต – จดทะเบียน
เปิดร่างกฎหมายไปรษณีย์ฉบับใหม่ ต้องขอใบอนุญาต หรือ จดทะเบียน ให้อำนาจคณะกรรมการกำกับดูแล กำหนดโทษทางปกครอง-อาญา วางแผนแม่บท อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงดีอี
ความคืบหน้าในการแก้ไข พ.ร.บ.ไปรษณีย์ พ.ศ.2477 ที่มีการใช้มากว่า 90 ปี ล่าสุด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตัดสินใจออกกฎหมายใหม่ เป็น พ.ร.บ.การประกอบกิจการไปรษณีย์ พ.ศ .... ประกอบด้วย 89 มาตรา โดย โพสต์ทูเดย์ พาไปสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
กำหนดบริการ DID ปกปิดข้อมูลส่วนบุคคล
การกำหนดนิยามบริการ DID (Digital Post ID) ส่งของไม่ต้องเขียนจ่าหน้า แปะพิกัดที่อยู่เป็น QR Code ซึ่ง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยกฎหมายฉบับนี้ ได้กำหนดนิยาม หมายความว่า รหัสมาตรฐานของที่อยู่ ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลส่วนบุคคล ที่อยู่ และพิกัดตำแหน่งของที่อยู่ผู้ใช้งาน โดยสามารถใช้แทนที่อยู่ในการจัดส่งสิ่งของ ด้วยการระบุรหัส DID บนจ่าหน้า และสามารถกำหนดการปกปิดข้อมูลส่วนบุคคลได้
ต้องขออนุญาตหรือขอจดทะเบียนทำธุรกิจ
กิจการไปรษณีย์ ภายใต้กำกับ หมายความว่าการให้บริการไปรษณีย์ที่ต้องขออนุญาตหรือขอจดทะเบียนกับคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วย กิจการไปรษณีย์ที่ต้องได้รับอนุญาต อันได้แก่ บริการไปรษณีย์ที่รัฐพึงสงวน และ บริการไปรษณีย์พื้นฐานโดยทั่วถึง และกิจการไปรษณีย์ที่ต้องจดทะเบียนอันได้แก่ บริการไปรษณีย์เฉพาะ
กิจการไปรษณีย์ที่ต้องได้รับอนุญาต มี 2 ประเภทได้แก่
1.ใบอนุญาตประกอบกิจการไปรษณีย์ที่รัฐพึงสงวน ได้แก่
-ใบอนุญาตประกอบกิจการไปรษณีย์สำหรับผู้ประกอบกิจการไปรษณีย์ที่มีเครือข่ายไปรษณีย์ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศซึ่งสงวนไว้สำหรับหน่วยงานของรัฐที่มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการไปรษณีย์เป็นหลัก และมีเครือข่ายไปรษณีย์เป็นของตนเองครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมีสิทธิ์ให้บริการไปรษณีย์ที่รัฐพึงสงวนอันครอบคลุมถึงบริการจดหมายที่มีน้ำหนักไม่เกิน 250 กรัมรวมทั้งการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการไปรษณีย์ที่รัฐพึงสงวน
-ใบอนุญาตประกอบกิจการไปรษณีย์พื้นฐานโดยทั่วถึง ได้แก่ ใบอนุญาตประกอบกิจการไปรษณีย์สำหรับผู้ประกอบกิจการไปรษณีย์ที่มีเครือข่ายไปรษณีย์ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศที่ไม่ใช่บริการไปรษณีย์ที่รับถึงสงวนโดยมีสิทธิ์ให้บริการไปรษณีย์พื้นฐาน อันได้แก่ บริการจดหมายที่มีน้ำหนักเกินกว่า 250 กรัมแต่ไม่เกิน 2,000 กรัมและพัสดุที่มีน้ำหนักไม่เกิน 20,000 กรัม
วาระเริ่มแรกไปรษณีย์ไทยเป็นผู้ประกอบกิจการไปรษณีย์ที่รัฐพึงสงวนและกิจการไปรษณีย์พื้นฐานโดยทั่วถึง ให้มีสิทธิ์ต่างๆในการให้บริการไปรษณีย์เท่าที่อยู่ในความรับผิดชอบดำเนินการของบริษัทไปรษณีย์ไทย เพื่อให้กิจการไปรษณีย์พื้นฐานสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ขาดตอน
ดังนั้น ไปรษณีย์ไทย ทำงานในครั้งแรกแบบอัตโนมัติไปก่อน หลังจากนั้นค่อยดำเนินการจนหมดไปอนุญาตแล้วค่อยเข้าสู่กระบวนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต โดยคณะกรรมการจะเป็นผู้กำหนดระยะเวลาในวาระเริ่มแรกต่อไปตามความเหมาะสม
2. กิจการไปรษณีย์ที่ต้องจดทะเบียน ได้แก่ การประกอบกิจการไปรษณีย์เฉพาะที่มีเครือข่ายไปรษณีย์ไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ที่ไม่ใช่บริการไปรษณีย์ที่รับพึงสงวน และไม่ใช่บริการจดหมายที่มีน้ำหนักไม่เกิน 2,000 กรัม โดยให้บริการได้เฉพาะวัสดุน้ำหนักไม่เกิน 20,000 กรัมรวมถึงให้บริการเฉพาะอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการไปรษณีย์
ดังนั้นการเข้ามาประกอบกิจการจึงเข้ามาได้ 2 รูปแบบ คือการเข้ามาด้วยระบบใบอนุญาต ได้แก่ ใบอนุญาตประกอบกิจการไปรษณีย์ที่รับพึงสงวน และใบอนุญาตประกอบกิจการพื้นฐานโดยทั่วถึง เป็นแนวทางเดียวกับ ญี่ปุ่นสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อต้องการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดว่าสามารถให้บริการได้ครอบคลุมทั่วประเทศหรือไม่
และการเข้ามาด้วยระบบจดทะเบียน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับเยอรมัน แต่มีความยืดหยุ่นกว่า เช่น คุณสมบัติของผู้จดทะเบียนไม่เข้มงวดเท่าผู้รับใบอนุญาต เมื่อได้รับการจดทะเบียนแล้วไม่ต้องต่ออายุ ผู้จดทะเบียนอาจถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปีได้ หากผู้จดทะเบียนทำผิดแล้วไม่แก้ไขอาจถูกเพิกถอนทะเบียนได้ เป็นต้น
กฎหมายยังระบุด้วยว่า ผู้ประกอบกิจการไปรษณีย์ภายใต้กำกับทุกรายต้องชำระค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการไปรษณีย์ ไม่ว่าจะเป็นผู้รับใบอนุญาต หรือผู้จดทะเบียนซึ่งการเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเป็นใบในแนวทางเดียวกับเยอรมัน.
อัตราค่าธรรมเนียมควรคำนึงถึงความแตกต่างของลักษณะการให้บริการของแต่ละประเภทแบบอนุญาตและการจดทะเบียนแต่ละราย
คณะกรรมการกำกับดูแล วางแผนแม่บท-กำหนดโทษ
สำหรับคณะกรรมการกำกับกิจการไปรษณีย์ คือ สำนักงานปลัดกระทรวงดีอี โดยมีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการสร้างสำนักงานใหม่ เป็นการดำเนินงานโดยหน่วยงานรัฐเหมือนกับการกำกับดูแลกิจการไปรษณีย์อย่าง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยกรรมการมีวาระ 4 ปี ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 วาระ ในวาระเริ่มแรกคณะกรรมการจัดทำแผนแม่บทจะต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติบังคับใช้
คณะกรรมการฯมีหน้าที่กำหนดนโยบาย จัดแผนแม่บท พิจารณา ออก พักใช้ หรือ เพิกถอน การใช้ใบอนุญาต รวมถึง รับ หรือ เพิกถอน การจดทะเบียนกำกับดูแลประกอบกิจการไปรษณีย์รวมทั้งให้มีอำนาจปรับทางปกครอง กำหนดหลักเกณฑ์รับเรื่องร้องเรียน และพิจารณาคำร้องเรียน โดยอำนาจหน้าที่คณะกรรมการการฯเป็นไปแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร
ทั้งนี้ การจัดทำแผนแม่บทในห้วงระยะเวลา 5 ปี ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี อย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญ อาทิ ลักษณะและประเภทของการประกอบกิจการไปรษณีย์ที่ต้องขอรับใบอนุญาตโดยคณะกรรมการจัดให้มีบริการไปรษณีย์ที่รัฐพึงสงวนและบริการไปรษณีย์พื้นฐานโดยทั่วถึงกำหนดผู้รับใบอนุญาตอย่างน้อย 1 ราย ที่ต้องมีบริการ ดังนี้
บริการไปรษณีย์พื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ที่เป็นผลตอบแทนการลงทุนต่ำ เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการทุกพื้นที่ในประเทศไทยให้ประชาชนมีสิทธิ์พื้นฐาน ในการสามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้ยังมีการกำหนดมาตรการที่ไม่ทำให้เกิดภาระเกินควรต่อผู้ประกอบการเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างประโยชน์ของประชาชนกับความสามารถของภาคธุรกิจในการให้บริการอีกด้วย
นอกจากโทษทางปกครองแล้วต้องกำหนดโทษทางอาญา เช่น หากผู้ใดเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารใดๆที่ได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 38 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
กฎหมาย ระบุอีกว่า ควรมีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนบริการไปรษณีย์พื้นฐานเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยแหล่งที่มาของเงินกองทุนมีความหลากหลาย เช่น เก็บจากค่าธรรมเนียมผู้ประกอบกิจการไปรษณีย์ ภายใต้กำกับทุกราย และ เก็บเงินจากรายได้ของผู้ประกอบกิจการไปรษณีย์เฉพาะอันเกี่ยวข้องกับการให้บริการภายใต้พระราชบัญญัตินี้ หรือเงินอุดหนุนจากภาครัฐ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบกิจการไปรษณีย์ภายใต้กำกับตั้งแต่ 3 รายขึ้นไป อาจรวมตัวการจัดตั้งสมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไปรษณีย์ได้โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและพัฒนาการประกอบธุรกิจไปรษณีย์ แต่ห้ามใช้ข้อความ "แห่งประเทศไทย" ในชื่อสมาคมฯ