posttoday

9 เดือนแรกปี 67 แบงก์กรุงศรี คว้ากำไร 23.42 พันล้านบาท

19 ตุลาคม 2567

กรุงศรีเผยผลกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2567 จำนวน 23.42 พันล้านบาท ลดลง 7.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรอง ตอกย้ำนโยบายการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบระมัดระวัง ภายใต้บริบทสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวย

          นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4/2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น การเติบโตอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และการเร่งตัวของการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ 

          อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงในเชิงลบ ได้แก่ ผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม การแข็งค่าของเงินบาท และอุปสรรคเชิงโครงสร้าง อาทิ หนี้ครัวเรือนและความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต จากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวข้างต้น กรุงศรียังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2567 ที่ 2.4%

          สำหรับผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 กรุงศรี มี กำไรสุทธิ จำนวน 23,424 ล้านบาท ลดลง 7.0% หรือจำนวน 1,774 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566  โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ตามการตั้งสำรองที่รอบคอบระมัดระวัง

          ขณะที่เงินให้สินเชื่อรวม ลดลง 4.5% หรือจำนวน 90,268 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2566 สะท้อนการปรับลดลงของความเชื่อมั่นทางธุรกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภค กอปรกับการดำเนินการตามแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของกรุงศรี

          ด้านเงินรับฝาก เพิ่มขึ้น 3.3% หรือจำนวน 60,009 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากประจำ

• ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้นเป็น 4.33% เทียบกับ 3.70% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566

• รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 23.2% หรือ 6,304 ล้านบาท จากช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 โดยมีปัจจัยมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจากธุรกิจในอาเซียน

• อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 43.8% จาก 44.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566

• อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 3.20%

          ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 245 เบสิสพอยท์ และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 124.6%    

• อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.94% เทียบกับ 18.24% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566