posttoday

บบส.อารีย์ ขานรับนโยบายแก้หนี้ครัวเรือน เร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้

19 ธันวาคม 2567

“บบส.อารีย์” กิจการร่วมทุนระหว่างธนาคารออมสิน และ BAM ทยอยรับซื้อรับโอนหนี้กองแรกจากธนาคารออมสินแล้ว 133,000 บัญชี คาดเริ่มบริหารจัดการติดตามและเจรจาประนอมหนี้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ ม.ค.68 เดินหน้าออกมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อเร่งช่วยเหลือลูกหนี้ต่อไป

นายสันธิษณ์ วัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ อารีย์ จำกัด (บบส.อารีย์) เปิดเผยว่า นโยบายในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ บบส. อารีย์ มีความสอดคล้องกับ “โครงการคุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเป็นมาตรการในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของภาครัฐ 

โดยมาตรการของ บบส. อารีย์ จะมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นทั้งเงื่อนไขและระยะเวลาในการชำระหนี้ โดยเฉพาะลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาเจรจาประนอมหนี้ภายในเดือน มิ.ย.2568 ทาง บบส. อารีย์ จะยื่นข้อเสนอเงื่อนไขที่ผ่อนปรนตามโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วเป็นกรณีพิเศษ ดังนั้น จึงขอเชิญชวนให้ลูกค้าของ บบส. อารีย์ ทุกรายเข้ามาเจรจาเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ไขหนี้ร่วมกัน

ส่วนความคืบหน้าหลังจาก บบส. อารีย์ ได้มีการจัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างธนาคารออมสินและ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ในสัดส่วนเท่ากันที่ 50% 

ปัจจุบันได้รับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2567 และเริ่มดำเนินการรับซื้อรับโอนหนี้กองแรกจากธนาคารออมสินแล้ว จำนวน 133,687 บัญชี ภาระหนี้เงินต้น 10,712 ล้านบาท ประกอบด้วยกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อทั่วไปมีหลักประกัน กลุ่มลูกหนี้สินเชื่อทั่วไปไม่มีหลักประกัน และกลุ่มลูกหนี้บัตรเครดิต

ทั้งนี้ ภายหลังการรับซื้อรับโอนลูกหนี้กองแรกดังกล่าว บบส. อารีย์ ได้เตรียมสรรหาและจัดจ้างบริษัทพันธมิตรที่จะเข้ามาบริหารจัดการในการติดตามและเจรจาประนอมหนี้กับลูกค้า โดยคาดว่าพันธมิตรดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 เป็นต้นไป 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ บบส. อารีย์ มีการออกหนังสือแจ้งไปยังลูกค้าที่รับซื้อรับโอนแล้ว มีลูกค้าติดต่อสอบถามและทยอยขอเข้ามาเจรจาประนอมหนี้กว่า 4,000 ราย ซึ่งทาง บบส. อารีย์ ได้ยื่นข้อเสนอที่เหมาะสม สอดคล้องกับกำลังและความสามารถที่แท้จริงในการชำระหนี้ให้กับลูกค้าแต่ละราย จนสามารถได้ข้อยุติแล้วประมาณ 200 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณารับข้อเสนอการปรับโครงสร้างหนี้ และบางส่วนยังอยู่ระหว่างการเจรจาประนอมหนี้ให้ได้ข้อยุติต่อไป