คนไทยมีหนี้เท่าไหร่ หลัง ทักษิณ ผุดไอเดีย ซื้อหนี้ประชาชน

18 มีนาคม 2568

สภาพัฒน์ฯ ระบุ หนี้ครัวเรือนไตรมาส3/2567 อยู่ที่ 16.34 ล้านล้านบาท หนี้เสีย 1.16 ล้านล้านบาท พบอันดับหนึ่ง หนี้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ รองลงมา รถยนต์

หลังจากที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมารับไอเดียนายทักษิณ ชินวัตร ซื้อหนี้ประชาชนจากธนาคาร หวังช่วยลูกหนี้ นั้น แม้แนวทางที่ทำจะยังไม่ชัด แต่สิ่งที่ชัดคือข้อมูลหนี้ครัวเรือนไทย

จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ไตรมาส 3 ของ ปี 2567 ว่า หนี้สินครัวเรือนของไทยอยู่ที่ 16.34 ล้านล้านบาท

ขณะที่มูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป หรือ NPLs ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีจำนวน 1.16 ล้านล้านบาท

หนี้ครัวเรือน มูลค่า 16.34 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น

1. หนี้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่า 5.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 34.3% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

2. หนี้เพื่อยานยนต์ มีมูลค่า 1.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10.2% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

3. หนี้เพื่อการประกอบธุรกิจ มีมูลค่า 2.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 17.7% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

4. หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล มีมูลค่า 4.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 28% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด 

สำหรับหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ประกอบด้วย

-สินเชื่อส่วนบุคคล มีมูลค่า 3.3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

-สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ มีมูลค่า 0.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 5.3% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

-สินเชื่อบัตรเครดิต มีมูลค่า 0.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.8% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

5. สินเชื่ออื่นๆ มีมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 9.8% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

หนี้ NPLs ได้แก่ (สัดส่วนต่อสินเชื่อรวม)

1. สินเชื่อที่อยู่อาศัย มีสัดส่วน 4.58% 

2. สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ มีสัดส่วน 10.33% 

3. สินเชื่อบัตรเครดิต คิดเป็น 12.58% 

4. สินเชื่อส่วนบุคคล คิดเป็น 10.77% 

5. สินเชื่อเพื่อการเกษตร คิดเป็น 5.90% 

6. สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ คิดเป็น 12.25% 

7. สินเชื่ออื่นๆ คิดเป็น 19.79% 

ทุกวัยประสบปัญหา รายได้โตไม่ทันรายจ่าย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น ttb analytics มองว่าประเด็นเรื่องหนี้ครัวเรือนไทยสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยทุกช่วงวัยกำลังประสบปัญหา “รายได้โตไม่ทันรายจ่าย” กระทบต่อความสามารถชำระหนี้ ก่อหนี้วนลูป จนกลายเป็นหนี้พอกเรื้อรัง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงวัย

1.    วัยเริ่มทำงาน : เป็นช่วงที่คนเริ่มมีรายได้หลังเรียนจบ แต่รายได้ยังไม่สูงนัก แต่กลับต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตาม เรียกได้ว่ากลุ่มนี้ “ชนกำแพงรายได้”

แม้ว่ากลุ่มวัยเริ่มทำงานจะเป็นกลุ่มที่ยังมีศักยภาพในการหารายได้ในอนาคต แต่ด้วยไลฟ์สไตล์การชีวิตของกลุ่มนี้ซึ่งในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Z (อายุระหว่าง 20-30 ปี) จึงมักเห็นพฤติกรรมการก่อหนี้โดยขาดวินัยทางการเงินที่ดี ทำให้รายได้ที่เพิ่มขึ้นน้อยอาจไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว  

2.    กลุ่มวัยเกษียณ : จะเป็นช่วงวัยที่รายรับน้อย แต่รายจ่ายยังมีอยู่ จึงต้องหันมาพึ่งพาเงินออม รวมถึงสวัสดิการอื่น ๆ หลังเกษียณ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่ “ชนกำแพงอายุ”

เนื่องจากความสามารถในการหารายได้ลดลงมากเมื่อแก่ตัวลง แต่กลับยังต้องแบกภาระหนี้เรื้อรังที่สะสมมาตั้งแต่วัยทำงาน 

3.    กลุ่มวัยสร้างครอบครัว : โดยทั่วไปเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อและการชำระหนี้ได้ดีกว่า 2 กลุ่มแรก แต่ภาระหนี้ที่ต้องแบกรับสูงตั้งแต่วัยเริ่มทำงาน รวมถึงยังมีภาระรุมเร้ารอบด้านทั้งเพื่อการใช้จ่ายส่วนตัว สร้างครอบครัว ชำระหนี้เดิมที่มีอยู่ ตลอดจนรับผิดชอบพ่อแม่ รวมถึงดูแลลูกไปพร้อมกัน

จึงพบเห็นบางกลุ่มมีปัญหาสภาพคล่องที่น้อยลง ซึ่งมักจะเห็นกลุ่มนี้มีแนวโน้มก่อหนี้ในระดับสูงมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นกลุ่ม “ชนกำแพงรายจ่าย” อย่างแท้จริง
  
ฉะนั้นแล้ว การจะแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยอย่างจริงจัง จึงไม่ได้เป็นเพียงการแก้ไขในระดับครัวเรือนเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องลงลึกไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ยังคงเป็นประเด็นเรื้อรังมาจวบจนปัจจุบัน

Thailand Web Stat