“สุรพล” เครดิตบูโร กางหนี้เสีย 1.22 ล้านล้านบาท ขั้นวิกฤติ

20 มีนาคม 2568

ประชาชน “ชนทุกกำแพง” ท่ามกลางวิวาทะแห่งความเห็นต่าง สิ่งสำคัญคือการเปิดใจรับฟัง ไม่ใช่สู้กันเอง จงคิดบวกเพื่อพัฒนา มิใช่จมปลักกับการวิจารณ์จนพาประเทศถอยหลัง

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Surapol Opasatien ว่า ท่ามกลางบทสนทนาเกี่ยวกับการซื้อๆขายๆสิทธิเรียกร้องหรือที่เรียกว่าหนี้สินระหว่างเจ้าหนี้เก่าไปยังเจ้าหนี้ใหม่(ถ้าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น) 

ผมขอดึงกลับมาที่สถานะของสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ณ เดือนมกราคม 2568 ให้เห็นก่อนว่า ข้อมูล, ข้อเท็จจริง เวลานี้มันเป็นอย่างไรกันบ้าง ข้อมูลนี้ไม่มีเป้าหมายสนับสนุนคนเห็นด้วย คนเห็นต่าง แต่อยากเห็นการใช้ความรู้บนข้อมูล ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกแบบไม่มีข้อมูลนะครับ

ภาพแรก เป็นภาพที่จัดทำโดยสถาบันวิจัยป๋วย ซึ่งมีนักวิจัยที่เก่งมากๆ ท่านเหล่านั้นได้นำข้อมูลสถิติที่ไม่มีตัวตนจากเครดิตบูโรจำนวนกว่า 27ล้านลูกหนี้ ไปแยกแยะสุขภาพทางการเงินจากภาระหนี้สินแบ้วนำไปนำเสนอในงานสัมนาวิชาการ ของธนาคารกลางปีที่แล้ว 

“สุรพล” เครดิตบูโร กางหนี้เสีย 1.22 ล้านล้านบาท ขั้นวิกฤติ สถานการณ์หนี้คนไทย

ข้อมูลมันบอกว่า ในระบบการเงินของเราเวลานี้มีคนที่มีสุขภาพทางการเงินในระดับดี ซึ่งน่าจะพอยื่นกู้ได้เพียง 25% ครับ ที่เหลือก็ดูจะมีเงื่อนไขที่ดูจะยากในการได้รับอนุมัติตามมาตรฐานสินเชื่อในปัจจุบันที่เข้มถึงเข้มมาก

“สุรพล” เครดิตบูโร กางหนี้เสีย 1.22 ล้านล้านบาท ขั้นวิกฤติ

สินเชื่อในระบบ

ตามมาด้วยภาพที่สองซึ่งเป็นภาพใหญ่ของสินเชื่อในระบบที่มีการส่งข้อมูลมาที่เครดิตบูโรทุกเดือน ตัวเลขคือ 13.6 ล้านล้านบาท ถ้าบวกเพิ่มด้วยหนี้ที่สหกรณ์ออมปล่อยกู้สมาชิกและกยศ.และอื่นๆก็จะไปอยู่ที่ 16.3 ล้านล้านบาทที่เราเรียกว่าหนี้ครัวเรือนนั่นเอง

การเติบโตของหนี้ของบุคคลธรรมดาในระบบเท่ากับ -0.5%yoy หมายถึงสินเชื่อรายย่อยมันแทบไม่ขยับ เราจึงเห็นการบ่นทั่วแผ่นดินว่ากู้ไม่ได้ กู้ไม่ผ่าน อัตราการปฎิเสธการให้สินเชื่ออยู่ในระดับที่สูง หลายท่านคงเห็นด้วยกับผม ไปดูรายงานในหลายที่หลายแห่งก็พูดถึงการหดตัวของสินเชื่อรายย่อย, SMEs.เป็นต้น

เจาะลงไปในไส้ในของหนี้ของนาย-ก.นาย-ข.จะพบว่า

1.22 ล้านล้านบาทเป็นหนี้เสีย NPLs คิดเป็นจำนวนทุกประเภทสินเชื่อ 9.5ล้านบัญชีครับ

5.8แสนล้านบาทเป็นหนี้ที่กำลังจะเสีย,หนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษหรือหนี้ SM.จำนวน 1.9ล้านบัญชี

หนี้เสียไปแล้วจากนั้นนำมาปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาหรือก็คือหนี้ NPLs. เอามาทำ TDR.กลายเป็นหนี้ปรับโครงสร้างอีก 1ล้านล้านบาทคิดเป็น 3.7ล้านบัญชีครับ

ต่อมาคือหนี้ที่เริ่มค้างชำระหรือเริ่มมีปัญหาแต่ยังไม่เกิน 90วันซึ่งมีการรีบเร่งเอามาทำการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกันหรือทำ DR. เพื่อให้กลับมาเป็นหนี้ปกติ เริ่มเก็บข้อมูลเดือนเมษายน 2567 ตอนนี้ยอดสะสมเท่ากับ 9.2แสนล้านบาทจำนวน 1.7ล้านบัญชีครับ

ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ด้วยตัวเลขหนี้ที่มีลักษณะต่างๆข้างต้น ด้วยจำนวนมูลหนี้เป็นบาท ด้วยจำนวนที่นับเป็นบัญชีแล้ว เรามีปัญหาระดับที่อาจเรียกว่าวิกฤติได้นะครับ

การฟื้นตัวของรายได้ไม่มากพอ ไม่ทั่วถึง ยังมาไม่เต็มที่และไม่เหมือนเดิม ประกอบกับ คนที่พยายามจะขอกู้ติดกำแพง ดังนี้

ชนกำแพงอายุ เพราะถ้าจะต้องผ่อนเกินอายุ 60,65ปี ใครเขาจะให้กู้

ชนกำแพงรายได้ เพราะมันมีข้อกำหนดเรื่อง Debt to income, หนี้ต่อรายได้ ว่าเต็มศักยภาพในการหารายได้มาจ่ายหนี้ถ้าจะก่อเพิ่มได้มั้ย

ชนกำแพงสถานะทางเครดิต คือ เป็นคนเคยค้างชำระมั้ย เป็นคนที่กำลังค้างอยู่มั้ย เป็นหนี้เสียมั้ย เคยเป็นหนี้ปรับโครงสร้างมั้ย สารพัดในคุณลักษณะครับ อย่างที่กล่าวข้างต้น เรามีคนสุขภาพทางการเงินดี 25% หรือประมาณ 5ล้านคน ซึ่งหลายคนไม่มีความจำเป็นต้องกู้

ภาระหนี้สินกองเป็นภูเขาหลังจากเจอหลุมรายได้ มันฉุดกระชากเศรษฐกิจ, เซาะกร่อนบ่อนทำลายรากฐานความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ

ดังนั้นมาตรการที่กำลังแก้อยู่ไม่ว่า คุณสู้ เราช่วย จ่ายตรง คงทรัพย์ ปิดจ่ายจบ หรือที่กำลังวิวาทะฝุ่นตลบ หากทางใดทางหนึ่ง หรือทางหนึ่งทางใดจะทะลุปัญหานี้ นอกเหนือจากออกมาพูดเก๋ไก๋ ว่าเป็นเรื่องโครงสร้างแต่ไม่บอกวิธีแก้ชัดๆ แล้วหล่ะก็ 

เราควรใจกว้างๆ ใจร่มๆ เปิดรับฟังวิธีการ เราควรสู้กับเรื่อง ไม่ใช่สู้กับคน ให้มีเรื่อง ต้องคิดบวก ไม่ใช่พร้อมบวก บ้านเมืองมันถึงจะวิวัฒน์ ถ้าติไปทุกเรื่องมันก็วิบัติสิ่ครับ

ถอยออกมาดูข้อมูล ข้อเท็จจริงก่อนนะครับ

ด้วยความเคารพทุกๆท่าน

Thailand Web Stat