CRC ท็อปฟอร์มปี 65 กำไรสุทธิ 7,605 ล้านบาท โต 2,648%
เซ็นทรัล รีเทล ชูยุทธศาสตร์ CRC Retailligence สร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดด เผยผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 65 มีรายได้รวมอยู่ที่ 65,147 ล้านบาท เติบโต 11% และกำไรสุทธิ 3,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% ส่งผลผลให้ในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 236,245 ล้านบาท เติบโต 21%
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เปิดเผยว่า “เซ็นทรัล รีเทล ได้ดำเนินธุรกิจตามยุทธศาสตร์ CRC Retailligence และสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดด โดยผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2565 มีรายได้รวมอยู่ที่ 65,147 ล้านบาท เติบโต 11% EBITDA 9,497 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% และกำไรสุทธิ 3,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% ส่งผลผลให้ในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 236,245 ล้านบาท เติบโต 21% EBITDA 30,049 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 7,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,648%
ทั้งนี้เซ็นทรัล รีเทล ยังพร้อมเสนอจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น 0.48 บาทต่อหุ้น โดยจะมีการอนุมัติอีกครั้งในการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี (AGM) สำหรับความสำเร็จของเซ็นทรัล รีเทล มาจากความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจในเครือที่สร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น ทั้งกลุ่มแฟชั่นที่พลิกโฉมประสบการณ์ใหม่ “New Omni Fashion” ด้วย Total Solution ครบวงจร และกลับมาโตแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม ส่วนกลุ่มฮาร์ดไลน์ ไทวัสดุขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 2 อย่างเต็มรูปแบบด้วยจำนวนสาขารวม 70 สาขา ใน 42 จังหวัดทั่วไทย ท็อปส์ เบอร์ 1 ฟู้ดรีเทลเมืองไทยชูคอนเซปต์ใหม่ “Every Day Discovery”
พร้อมกับการเดินหน้าขยายสาขาอีก 15 สาขา รวมถึงศูนย์การค้า โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ที่ยังมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จนได้ชื่อว่าเป็นเบอร์ 1 ศูนย์การค้า Lifestyle and Experiential Community ที่มีสาขาครอบคลุมจังหวัดมากที่สุดในไทย นอกจากนี้ยังสร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่ง บนกลยุทธ์ 3C คือ Cost บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Strategic Business และ Cash Flow ขยายขีดความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้มีความคล่องตัว และเพิ่มกระแสเงินสดให้มากขึ้น ทำให้ธุรกิจมีความ Fit & Firm
และสามารถสร้างผลประกอบการกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็วเกินคาด โดยสามารถแบ่งสัดส่วนยอดขายตามกลุ่มธุรกิจในปี 2565 ออกเป็น กลุ่มฟู้ด 40% กลุ่มฮาร์ดไลน์ 34% และกลุ่มแฟชั่น 26% และแบ่งตามประเทศเป็น ประเทศไทย 69 % เวียดนาม 24% และอิตาลี 7% นอกจากนี้ยอดขายบนแพลตฟอร์มออมนิแชแนลยังเติบโตขึ้นถึง 15% จากปีก่อน และมีสัดส่วนยอดขายจากแพลตฟอร์มนี้เป็น 18% ของยอดขายทั้งหมด และมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดยังได้สร้างความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ ด้วยการ Spin-off บมจ.เมพ คอร์ปอเรชั่น (MEB) ซึ่งเป็นบริษัทฯ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้สำเร็จ ด้วยมูลค่า Market Cap ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 12,075 ล้านบาท ขึ้นแท่นหุ้น Market cap สูงสุดอันดับ 2 ของตลาด mai ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (Service)
นอกจากนี้ยังสร้างความสำเร็จก้าวสำคัญในเวียดนาม โดยปัจจุบันครองตำแหน่งผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และขึ้นแท่นอันดับ 1 ไฮเปอร์มาร์เก็ต และอันดับ 2 ศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ ด้วยจำนวนธุรกิจครอบคลุมใน 40 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศเวียดนาม และตอกย้ำความแข็งแกร่งในกลุ่มฟู้ด ด้วย 3 โมเดลสำคัญ อย่าง GO! ไฮเปอร์มาร์เก็ต, go! ซูเปอร์มาร์เก็ต และ Tops market โดยจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล จะยังคงเดินหน้าต่อยอดธุรกิจในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
“เวียดนามเป็น Key Market ของเซ็นทรัล รีเทล ที่มีโอกาสขยายตัวได้อีกมหาศาล และมีความพร้อมทางธุรกิจในหลายด้าน ทำให้เซ็นทรัล รีเทล ได้เร่งเครื่องอัดฉีดงบลงทุน 5 ปี กว่า 50,000 ล้านบาท เพื่อขยายอาณาจักรในเวียดนามอย่างเต็มที่ โดยมีแผนที่จะเปิดศูนย์การค้า GO! สาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 5-7 สาขาในปีหน้า พร้อมทั้งตั้งเป้าขยายอาณาจักรเซ็นทรัล รีเทล ให้ครอบคลุมทั้งหมด 57 จังหวัดทั่วประเทศเวียดนาม และบรรลุยอดขาย 150,000 ล้านบาทในประเทศเวียดนามในอีก 5 ปีข้างหน้า”นายณนน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เซ็นทรัล รีเทล พร้อมมุ่งหน้าสู่ The Next Sustainable Growth โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับทุกกลุ่มธุรกิจในแต่ละประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยเส้นทางธุรกิจต่อจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล มีความมั่นใจที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากปัจจัยบวกหลายด้านในภาคธุรกิจค้าปลีกและบริการ โดยเฉพาะแรงเสริมจากการเปิดประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เดินทางเพิ่มมากขึ้น ทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ถือเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล ซึ่งจะเอื้อประโยชน์โดยตรงต่อธุรกิจในเครือเซ็นทรัล รีเทล