ไม่ร้าย! "TU"ขายหุ้นคืนไร้กังวล กูรูชี้จังหวะซื้อ ไม่ใช่ถอย
ข่าวไม่แย่! กูรูชี้ "TU"ประกาศขายหุ้นคืนไร้กังวล เหตุต้นทุนสูงกว่าราคาในกระดาน เชื่อไม่ขายแต่ลดทุนแทน เปิดจังหวะสะสมรับปันผล 0.30 บาท อีก 4 โบรกแห่สแกนผลงานครึ่งปีหลังเห็นต่างเหตุต้นทุนทูน่าขยับ
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น TU เช้านี้(8 ส.ค.2566) ณ เวลา 11.19 น. อยู่ที่ 13.50 บาท ลดลง 0.10 บาท คิดเป็น -0.74% โดยราคาขึ้นไปสูงสุด 13.80 บาท และลดลงต่ำสุด 13.50 บาท
เชียร์สะสม
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตามที่ "บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)" ประกาศขายหุ้นคืน ในวันที่ 15-23 ส.ค.66 นั้น เบื้องต้นบริษัทที่ซื้อหุ้นคืน มี 2 ทางเลือกเมื่อครบกำหนดช่วงซื้อหุ้นคืน นั่นคือ 1.ขายหุ้นคืนในกระดาน และ 2.ถ้าไม่ได้ขายหุ้นคืนหรือเลยกำหนดขายหุ้น บริษัทจะนำไปลดทุนแทน
ทั้งนี้ส่วนตัวตั้งข้อสังเกตุว่า โดยปกติถ้าบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ที่อยากขายหุ้นคืนในกระดาน พีเรียตในการขายปกติจะใช้ระยะเวลายาว แต่พีเรียตในการขายของ TU สั้น นั่นอาจมองได้ว่าหาก TU ไม่มีการขายหุ้นคืนในช่วงเวลาที่กำหนดอาจจะลดทุนแทน
ซึ่งในการลดทุนนั้นราว 4% ของทุนจดทะเบียน สิ่งที่จะตามมาคือ EPS จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพราะตัวเลขทุกอย่างจะดีขึ้นหมดจากการลดทุน ดังนั้นนักลงทุนที่มีหุ้น TU จึงแนะนำถือเพื่อรับเงินปันผล 0.30 บาท ขึ้น XD วันที่ 21 ส.ค.66 ถามว่าซื้อหุ้นในช่วงประกาศขายหุ้นจะน่ากังวลหรือไม่นั้น
ส่วนตัวยังคงแนะนำถือรับปันผล เพราะหากดูต้นทุนหุ้นซื้อ (Treasury Stock) ของ TU ซื้อหุ้นคืนครบตามเกณฑ์จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าราว 2,976 ล้านบาท คิดเป็นต้นทุนของ Treasury Stock ทั้งหมดที่ 14.88 บาท สูงกว่าราคาบนกระดาน เทียบราคาปิดวานนี้(7 ส.ค.66) อยู่ที่ 13.60 บาท ซึ่งโดยปกติไม่มีหุ้นที่ซื้อต้นทุนสูงกว่าบนกระดานแล้วจะขายทิ้งเพื่อให้ขาดทุน ดังนั้นด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่กังวลว่า TU จะขายหุ้นในกระดาน
"ด้วย 2 เหตุนี้คือ 1.ช่วงขายสั้น เหมือนจะทำให้จบเร็วๆเพื่อที่จะลดทุน และ 2.ถ้าราคาหุ้นในกระดานไม่ได้วิ่งทะลุ 15 บาท คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาขายขาดทุน เพราะวัตถุประสงค์การซื้อหุ้นคืนคือบริษัทมองว่าราคาหุ้นของตัวเองถูกเกินไปจึงเข้าซื้อ2และเงินสดในมือค่อนข้างเยอะ เป็นการบริหารสภาพคล่อง และเมื่อเข้าซื้อหุ้นคืน 14.88 บาทซึ่งเขามองว่าอันเดอร์แวลู่ก็คงไม่ขายทิ้งในกระดานที่ราคา 13 บาทกว่า
ดังนั้นจึงคิดว่าเรื่องขายหุ้นคืนไม่ได้สนใจเลย และคิดว่าไม่น่าจะขาย ยิ่งถ้าหากพิจารณารายละเอียดภายในกลับมองว่ามีโอกาสลดทุนมากกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องขายหุ้นคืน ยกเว้นหุ้นขึ้นไป 15 บาทบริษัทอาจจะขายบ้างก็ไม่แปลก แต่ถ้าต่ำกว่า 14.88 ก็คงไม่ขาย EPS จะขึ้น PEจะลง นี่เป็นโอกาสซื้อมากกว่า วันท้ายที่ขายหุ้นคืนคือ 23 ส.ค. สายเก็งกำไรน่าจะเริ่มเล็งตั้งแต่ 21-22 ส.ค. แต่ถ้าราคา TU เปิดโดด ไฮ เดิม 13.8 บาท ทางเทคนิคยังไปต่อได้ แต่ให้รอย่อซื้อดีกว่าเพื่อเอาปันผล"
อย่างไรก็ดี TU รายงานกำไรปกติในไตรมาส 2/66 ที่ 1.45 พันล้านบาท เติบโต 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 63% จากไตรมาสก่อน ซึ่งดีกว่าคาดถึง 52% จาก GPM และการควบคุมค่าใช้จ่ายดีกว่าคาด ประกาศจ่ายเงินปันผลครึ่งปีแรก หุ้นละ 0.30 บาท ขึ้น XD วันที่ 21 ส.ค.66 ให้ Dividend Yield 2.2%
กำไรในไตรมาส 3/66 คาดเพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากเป็น High Season ของธุรกิจส่งผลให้ยุโรปและสหรัฐฯกลับมาเร่งเพิ่มระดับสต็อกสินค้า เราคงประมาณการกำไรปกติปี66 ที่ 4.43 พันล้านบาท ลดลง 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่กำไรปกติปี67 คาดเพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 6.1 พันล้านบาท ราคาหุ้นไม่แพงที่ระดับ PER2566 และ 2567 ที่14.6 เท่า และ 10.6 เท่าตามลำดับ ดังนั้นแนะนำทยอยสะสม TU เพื่อรับเงินปันผลรอบนี้ มองแนวต้าน 14 / 14.50 บาท
ปีหน้าฟื้น
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุเช่นกันว่า TU ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับรอบครึ่งแรกปีนี้ (1H23) ที่ 0.30 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผล ที่ 2.2% แต่ก็มีการประกาศขายหุ้นมายังในตลาดฯ ซึ่งเป็นหุ้นที่ซื้อคืนมาก่อนหน้า อีกทั้งได้มีการประกาศลดเป้าหมายปีนี้ หรือ ปี 2023 ลง หลักๆคือ ปรับรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นลง แต่ส่วนขาดทุนจากบริษัทร่วมคือ Red Lobster น้อยลงเป็นราว -500 ล้านบาท จากเดิม -600 ล้านบาท คาดว่าภาพเบื้องต้นของกำไร 3Q23F จะยังลดลงเทียบกับ y-o-y แต่จะฟื้นตัวได้เทียบกับ q-o-q
ฝ่ายวิเคราะห์คงคำแนะนำ ถือ กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 14.40 บาท ราคาปิดยังมีส่วนเพิ่มได้ไม่มากนักที่ 6% เราเห็นว่าบริษัทจะมีจุดตํ่าสุดในปีนี้ (Bottom Out) และเป็นจุดตํ่าสุดที่กำลังผ่านไป และกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 24F หรือปีหน้า นั่นคือรายได้และต้นทุนเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้นคาดการณ์กำไรหลักปีนี้และปีหน้าเปลี่ยนแปลงคือ -38%/+52% y-o-y อย่างไรก็ตามเห็นว่าในระยะกลาง การฟื้นตัวยังค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบยังสูง ราคาปิดมี Upside ไม่มากนัก จึงแนะนำ ถือไปก่อน
ครึ่งหลังฟื้น
บล.ยูโอบีเคย์เฮียน คงแนะนำถือ TU ราคาเป้าหมายที่ 14.60 บาท TU รายงานกำไรหลักที่ 1,279 ลบ. ใน 2Q23 ลดลง 27.7% แต่เพิ่มขึ้น 60.7% yoy สูงกว่าที่เราและ Consensus คาดการณ์ 53% และ 25% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า ผลประกอบการใน 2H23 จะค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นจากฐานจำนวนยอดขายที่ต่ำและราคาทูน่าที่สูง
จับตาต้นทุนทูน่า
บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า ราคาปลาทูน่าที่ใช้เป็นวัตถุดิบในเดือนกรกฎาคมยังไม่ออก แต่เราเชื่อว่าน่าจะเท่าๆกับใน 2Q23 (ที่ USD2,000 ต่อตัน) แต่เรายังคงระมัดระวังกับแนวโน้มใน 2H23เพราะต้นทุนปลาทูน่ายังมีความไม่แน่นอน ซึ่งเรามองว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดระดับของกำไรใน 2H23
ทั้งนี้เรายังไม่ได้ศึกษาหุ้น TU แต่ข้อมูลจาก Bloomberg consensus ประเมินราคาเป้าหมายที่ 16.59 บาท และกำไรปี FY23F ที่ 5.5 พันล้านบาท (-21% yoy) คิดเป็น P/E ตามราคาตลาดที่ 11.8x
ผ่านจุดต่ำ รอจุดพลุ
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” (เดิม “ถือ”) และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 16 บาท (เดิม 14 บาท) อิง SOTP แบ่งเป็นมูลค่าธุรกิจของ TU (ไม่รวม PetCare ของ ITC) ที่ 7.3 บาท อิง 2023E PER 11x (-1SD below 5-yr average PER) และมูลค่าธุรกิจ PetCare ของ ITC ที่ 8.7 บาท อิง 2023E PER 22x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่ 28x TU รายงานกำไรปกติ 2Q23 (ไม่รวมขาดทุนพิเศษ เช่น Fx) อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท (-16% YoY, +72% QoQ) สูงกว่าตลาดคาดที่ 1 พันล้านบาท โดยหดตัว YoY เป็นไปตามปริมาณขายลดลงในทุกธุรกิจและต้นทุนทูน่าสูงขึ้น
ขณะที่ฟื้นตัว QoQ จาก GPM ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากเป็น 16.9% จาก 1Q23 ที่ 15.1% จากการปรับราคาขายขึ้นและอานิสงส์จากราคากุ้งลดลง -24% QoQ (30% ของต้นทุนวัตถุดิบ)เราปรับกำไรปกติปี 2023E ขึ้น 22% เป็น 4.7 พันล้านบาท (-30% YoY) เพื่อสะท้อน 2Q23 ดีกว่าคาด
ประเมินกำไรปกติ 2H23E จะปรับตัวดีขึ้น HoH จากสถานการณ์ inventory destocking โดยรวมทยอยคลี่คลาย และ GPM ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของยอดขายและอานิสงส์ราคากุ้งทรงตัวต่ำราคาหุ้นกลับมาปรับตัวขึ้น และ in line กับ SET ใน 1 เดือน เรามีมุมมองบวกมากขึ้นจากผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้วใน 2Q23 โดยบริษัทสามารถส่งผ่านต้นทุนได้ดีขึ้นแม้ต้นทุนทูน่าทรงตัวสูง