posttoday

WHA มอง 3 เทรนด์โลก เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสต่อยอดธุรกิจ

27 มิถุนายน 2567

WHA มอง 3 เทรนด์โลก “เทคโนโลยี-ความยั่งยืน-ภูมิรัฐศาสตร์” เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสต่อยอดธุรกิจ แนะนักธุรกิจต้องทรานส์ฟอร์มองค์กรก่อนรรองรับโลกที่เปลี่ยนแปลง ย้ำเป้าหมายสู่ “เทคคอมพานี” ภายในปี 67

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยในงานสัมมนา Investment Forum 2024: เจาะขุมทรัพย์ลงทุนยุคโลกเดือด ในหัวข้อ “กลยุทธ์ธุรกิจก้าวข้าววิกฤตต่อยอดธุรกิจ เบ่งกำไร” ที่จัดขึ้นโดย กรุงเทพธุรกิจ ว่า การดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมองเมกะเทรนด์โลก การเคลื่อนย้ายฐานเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเทรนด์มีหลายอย่างแต่ที่เกี่ยวกับ WHA มี 3 เทรนด์สำคัญ คือ 1.เทคโนโลยี 2.ความยั่งยืน และ 3.ภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ จะมองวิกฤติให้เป็นโอกาสต่อยอดธุรกิจ

ทั้งนี้ WHA ดำเนินธุรกิจใน 4 กลุ่มธุรกิจ คือ 1. ธุรกิจโลจิสติกส์ มีพื้นที่เกือบ 3 ล้านตารางเมตร 2. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม หากรวมนิคมอุตสาหกรรมเวียดนามมีพื้นที่รวม 7.7 หมื่นไร่ 3. ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และ 4. ธุรกิจดิจิทัล ซึ่งกลุ่มบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

“ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีบริษัทในเครือกว่า 70 บริษัท มีมาร์เก็ตแคปรวมกันกว่า 2 แสนล้านบาท พร้อมกับมีการต่อยอดธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมขยายสู่นิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม และมีการปรับในเรื่องของการนำเทคโนโลยีมาใช้ ช่วงเกิดสงครามทางการค้าจะเห็นการย้ายฐานการลงทุนจากจีน เราเลยมองเวียดนามเป็นเป้าหมายสำคัญ และเตรียมพร้อมด้านดิจิทัลรับการลงทุน” นางสาวจรีพร กล่าว 

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ WHA จะโชว์เรื่องเทคโนโลยีที่เน้นความยั่งยืน การมีสินค้าใหม่และบริการใหม่ๆ รวมถึงในเรื่องของกรีนโลจิสติกส์ ดิจิทัลเฮลท์เทคโนโลยี และ AI ถือเป็นการทรานส์ฟอร์เมชั่น เพราะหากไม่ทรานส์ฟอร์มองค์กรล่วงหน้า ไม่มีโซลูชั่นใหม่ จะทำเรื่องของ AI ไม่ได้ ซึ่งกลุ่มบริษัทได้ Carbon Neutral แล้ว และตั้งเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังดำเนินธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเฉพาะรถขนส่ง เพราะจะช่วยประหยัดค่าพลังงานมากที่สุดเพราะต้องวิ่งในระยะทางไกล โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายรวมปล่อยเช่า 1,000 คัน ส่วนการใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการน้ำ จะช่วยลดการใช้น้ำใหม่และการรีไซเคิลสามารถลดค่าใช้จ่ายได้กว่า 90 ล้านบาทต่อปี

อีกทั้งยังมีแอปพลิเคชั่น Mobilix ช่วยบริหารจัดการโลจิสติกส์ ลดต้นทุนให้ลูกค้ามุ่งสู่ในเรื่องของกรีน บริหารจัดการระบบอีโคซิสเต็มทั้งหมด ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่โดดเด่นจากการย้ายการลงทุนมาในประเทศไทย ซึ่งหลายปีก่อนมีการดึงกลุ่ม EV เข้ามาจนกลายเป็นอีวี ฮับ และดึงกลุ่มแบตเตอรี่ ปัจจุบันเป็นกลุ่มเทคโนโลยีและดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะเห็นการต่อยอดและรายได้ตามมา

“หลายคนถามว่า ที่ดินตอนนี้ขายดี เราก็โตได้ดีเหมือนกับเวียดนามเช่นกัน แม้ที่ผ่านมาเมืองไทยอาจโตตามหลังเวียดนามจากเดิมที่เคยแพ้เวียดนาม ซี่งตอนนี้กำลังโต อีกทั้งกลุ่ม WHA มีโรงไฟฟ้ากำลังผลิตรวมในปีนี้ที่ 1,000 เมกะวัตต์ โดยครึ่งหนึ่งจะเป็นไฟสะอาด โดยจะมุ่งเป็นเทคคอมพานีอย่างเต็มรูปแบบในปีนี้” นางสาวจรีพร กล่าว 

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ย้ำเรื่องของรถ EV โดยกลุ่ม OEM เดิมได้ซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเพื่อขยายการลงทุน จึงไม่อยากให้พูดว่า EV ศูนย์เหรียญ อีกทั้งการที่ 8 แบรนด์ EV ที่เข้ามา ก็ยังตามมาด้วยกลุ่มแบตเตอรี่ จึงต้องค่อยๆ สร้าง โดยสิ่งแรกที่ทำ คือ การดึงนักลงทุนให้เข้ามาก่อน

นอกจากนี้ การที่นักลงทุนย้ายฐานการผลิต มองว่าเซาท์อีสเอเชียเป็นเซฟโซน จึงจะเป็นโอกาสให้กับประเทศไทย เพราะมีอินฟราสตรัคเจอร์และอีโคซิสเต็มที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการวางแผนจากภาครัฐ  โดยเฉพาะการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่สนับสนุนและช่วยดึงการลงทุนจากกลุ่มอีวี และจะมีเทคโนโลยีตามมา