posttoday

“ทรีนีตี้” มองฟันด์โฟลว์ไหลเข้า Q4/67 รับเฟดลดดอกเบี้ย-ไฮซีซั่นท่องเที่ยว

02 กรกฎาคม 2567

“ทรีนีตี้” เชื่อฟันด์โฟลว์ไหลเข้าปลายไตรมาส 4/67 หลังเฟดลดดอกเบี้ย-ไฮซีซั่นท่องเที่ยวไทย มองดัชนีหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ เคลื่อนไหวกรอบ 1,240-1,430 จุด ชี้ตลาดหุ้นไทยหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง และครบ 27 ปี ลอยตัวค่าเงินบาท เศรษฐกิจและตลาดทุนไทยแข็งแกร่งขึ้น

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในไตรมาส 3/2567 จะถูกขับเคลื่อน โดยนักลงทุนสถาบัน มองการเคลื่อนไหวของ SET ในช่วงที่เหลือของปีที่ 1,240-1,430 จุด โดยที่ 1,240 จุด (โดยใช้สมมติฐานที่ PE 11.9X และ consensus EPS 2025 ที่ 107 บาทต่อหุ้น และ PE ที่ 13.8x) มองตลาดหุ้นไทยเป็น K shape และเป็น sector selection โดยแนะนำให้ลงทุนใน sector ที่เน้นการขยายตัวของกำไร คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอาหาร กลุ่มโทรคมนาคม กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มโรงพยาบาล

ทั้งนี้ เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติอาจจะเริ่มสนใจหุ้นไทยเมื่อ Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทย เมื่อเปรียบเทียบกับ Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐ ที่ค่าเฉลี่ยที่ 3.24% หรือระดับดัชนี SET ที่ 1,250 จุด และมองตลาดหุ้นไทยจะมี Fund Flow ไหลเข้าในปลายไตรมาส 4/2567 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีปันผลสูง 

“Fund Flow ทั้งการซื้อและขายของนักลงทุนต่างชาติจะเป็นแบบเบาบางในไตรมาส 3/2567 ทั้งภูมิภาค เนื่องจากเม็ดเงินส่วนใหญ่ยังคงรอสัญญาณการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และการเลือกตั้งสหรัฐ และคาดว่า Fund Flow จะเริ่มคงไหลเข้ามาในปลายไตรมาส 4/2567 จากความชัดเจนของการลดดอกเบี้ยของ Fed และเป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยวไทย และมองว่าตลาดทุนไทยช่วงครึ่งปีแรกปี 2567 ได้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายสุดในด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกไปแล้ว หลังเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกในไตรมาส 1-2/2567 ไปแล้วกว่า 1.1 แสนล้านบาท” นายวิศิษฐ์ กล่าว

“ทรีนีตี้” มองฟันด์โฟลว์ไหลเข้า Q4/67 รับเฟดลดดอกเบี้ย-ไฮซีซั่นท่องเที่ยว

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ในช่วงสั้น 1-3 เดือนข้างหน้า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ จะยังคงแข็งค่า เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่าง (Gap) ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และธนาคารกลางอื่นทั่วโลกยังอยู่สูง

นอกจากนี้ คาดการณ์ว่า Fed อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% หรือคงดอกเบี้ย และคาดการณ์คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยทั้งปี ขณะที่ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ถ้าทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ล่าช้า ก็จะนำไปสู่การลดลงของกำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นโลกมักปรับตัวลดลงกว่า 10% โดยเฉลี่ยก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 4 เดือน (สถิติจากการเลือกตั้ง 25 ปีย้อนหลัง)

นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า วาระครบ 27 ปี วิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 และครบรอบลอยตัวค่าเงินบาท วันที่ 2 ก.ค.2540 เศรษฐกิจและตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่งขึ้นมาก ดูจากมูลค่าตลาดทุน (Market Capitalization) ต่อ GDP ปรับเพิ่มขึ้นจาก 24% มาสู่ 97% ของ GDP รวมประเทศ 

ตลาดตราสารหนี้ มีการพัฒนาอย่างมากจากมูลค่าต่ำกว่าล้านล้านบาทในปี 2540 มาสู่ระดับ 17 ล้านล้านบาท หรือ 95% ของ GDP ในปัจจุบัน ภาพการระดมทุนมีความสมดุลมากขึ้นทั้งตราสารหนี้ ตราสารทุน และสินเชื่อธนาคาร

ขณะที่ทุนสำรองต่อ GDP มีความแข็งแกร่งขึ้นมาอยู่ที่ 44% ของ GDP เมื่อเปรียบเทียบกับระดับ 18% ของ GDP ในช่วงที่ 2540 ดุลเดินสะพัด มีความแข็งแกร่ง (บางปีถึง 10% ของ GDP) แต่ในส่วนของดุลบัญชีทุน เริ่มอ่อนแอลงนับตั้งแต่ปี 2556

ด้านหนี้สินภาคธุรกิจมีความแข็งแกร่งขึ้นจาก 175% ของ GDP ลดลงมาสู่ 95% ของ GDP ในปี 2552 ก่อนเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 197% GDP ในปีกลางปี 2567 เนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องก่อหนี้เพิ่ม ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้นดีขึ้นจากที่ขาดทุนสุทธิช่วงปี 2540 มาสู่ระดับ 80-90 บาทต่อหุ้นในปัจจุบัน

นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤต แต่ก็ยังมีบางภาคส่วนที่อ่อนแอลงมากในเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะในเรื่องของหนี้สินครัวเรือน เพิ่มขึ้นจาก 40% ของ GDP มาสู่ระดับ 91% ของ GDP ในปัจจุบัน และนำไปสู่ความอ่อนแอของการออมภาคครัวเรือน

สำหรับมูลค่าการซื้อขายของตลาดทุนไทย เมื่อเปรียบเทียบกับ Market Cap ของตลาดหุ้นอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี นักลงทุนที่เป็นรายบุคคลไทยได้ลดลงจาก 47% มาสู่ระดับ 31%