โผหุ้นโหนกระแส "ทักษิณ ชินวัตร" เปิดวิชั่นฟื้นเศรษฐกิจไทย
4 โบรกโหนกระแสมุมคิด "ทักษิณ ชินวัตร" ฟื้นเศรษฐกิจไทยในงาน Vision for Thailand 2024 พร้อมเสิร์ฟหุ้นฮอตรับอานิสงส์ในอนาคต
กลายเป็นประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ทันทีที่ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวที Dinner Talk : Vision for Thailand 2024 จัดโดยเครือเนชั่น เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2567ที่ผ่านมา นี่คือการขึ้นเวทีปาฐกถาครั้งแรกในประเทศไทยหลังอยู่ต่างประเทศ 17 ปี
การแสดงวิสัยทัศน์ครั้งนี้ ฉายภาพปัญหาเศรษฐกิจไทยอย่างตรงไปตรงมา และต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตก่อนที่ GDP จะตกต่ำ และเป็นการตั้งการ์ดสู้กับประเทศรอบนอกให้ได้
"ทักษิณ ชินวัตร" ชี้ปมปัญหาที่ควรแก้และสิ่งที่ควรทำ ทั้งหมด 18 ข้อ ซึ่งฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส สรุปสาระสำคัญที่เกี่ยวกับตลาดทุนโดยตรงไว้ 3 ข้อหลัก ดังนี้ 1) การศึกษาแผนการขยายกองทุนวายุภักษ์ เพื่อใช้เป็น TREASURY STOCK สำหรับหุ้นใน SET50-SET100 และควรมี ESG RATING ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ KBANK, BBL, AOT, SCB, PTT, BCP, TTB, ADVANC, SCC, BDMS
2) การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยการขยายความจุสนามบินสุวรรณภูมิและการสร้าง ENTERTAINMENT COMPLEX ครบวงจร คาดเม็ดลงทุนราว 1 แสนล้านบาท ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ AWC, CENTEL, MINT, ERW, CPN, AOT
3) การปรับเปลี่ยนนโยบาย DIGITAL WALLET โดยเสนอปรับ แจกเงินสดแก่กลุ่มเปราะบาง-ผู้พิการก่อน 1 หมื่นบาทต่อราย ด้วยงบกลางและงบฯปี67 รวมแล้วประมาณ 1.45 แสนล้นบาทภายใน ก.ย.67 หลังจากนั้นใช้งบฯปี68 แจกเงิน DIGITAL แก่ผู้ลงทะเบียน 30 ล้านคนไม่ซ้ำกับกลุ่มแรก และต่อยอดระบบเพื่อโครงการในอนาคต ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ MTC, BAM, TIDLOR, TU, TFG, GFPT, CPALL, CPAXT, BJC
ส่วนประเด็นอื่นๆที่น่าสนใจ อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ ผ่านการประสานงานระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น คลัง, ธปท. และ ธนาคารพาณิชย์ , การประสานนโยบายเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลและคลังให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน, นโยบายขายที่ดินต่างชาติในรูปแบบการเช่า 99 ปี, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย,การลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น ระบบแก้น้ำท่วม-แล้ง และ รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น
สรุปสาระสำคัญของงาน VISION FOR THAILAND 2024 น่าจะเป็นแนวทางให้รัฐบาลชุดปัจจุบันดำเนินตามได้ไม่ยาก และหนุนให้เศรษฐกิจยังเติบโตได้ดังที่หวังไว้ ขณะที่โครงการ DIGITAL WALLET มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่มีโอกาสเกิดขึ้นจริงมากขึ้น ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์ คือ หุ้นกลุ่มเช่าซื้อ เกษตร-อาหาร และค้าปลีก อาทิ MTC, BAM, TIDLOR, TU, TFG, GFPT, CPALL, CPAXT, BJC เป็นต้น
โผหุ้นได้ประโยชน์
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ประเด็นที่น่าสนใจในงานVision for Thailand คือ 1. เรื่องหนี้ครัวเรือน แผนการแก้หนี้มีผลต่อเรโช ถ้าทางการลงมาช่วยแก้หนี้ จะมีหุ้นที่ได้กระแส คือ หุ้นไฟแนนซ์ ธนาคาร ค้าปลีก และหุ้นที่ซื้อหนี้ AMC อย่าง JMT ได้ประโยชน์ 2.ดิจิทัลวอลเล็ต คิดว่าน่าจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายบางส่วน อย่างล็อตแรกคาดว่าจะใช้ในกลุ่มเปราะบางก่อน จ่ายเงิน 145,000 ล้านบาท โดยใช้งบปี 67 ไม่เร่งใช้งบในอนาคตถือเป็นเรื่องที่ดี ดีต่อหุ้นค้าปลีก CPALL , GLOBAL , DOHOME , TIDLOR
3.ซอฟต์พาวเวอร์ พวกมวยไทย , อีสปอร์ต หุ้นได้ประโยชน์คือ PLANB 4.ฟื้นท่องเที่ยว การปรับปรุงสนามบิน ลุยไพรเวทเจ็ต AOT ได้ประโยชน์ในระยะยาว แต่ด้วยเป็นการลงทุนก้อนใหญ่อาจมีผลกระทบช่วงสั้นได้ หากท่องเที่ยวดีย่อมดีต่อโรงแรมและการบริโภคต่อไป
เอื้อ 3 กลุ่มสำคัญ
นายกรภัทร วรเชษฐ์ หัวหน้าฝ่ายงานวิจัย บล.กรุงศรี กล่าวว่า กลยุทธ์ KSS เชื่อว่า SET มีโอกาสตอบรับทางบวกต่อวิสัยทัศน์ของอดีตนายกฯ ในงานVision for Thailand จากมุมมองเชิงบวกที่หาก ครม. นำปรับใช้ เชื่อว่าจะหนุนการเติบโตเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นกว่าปัจจุบัน เทียบกับมุมมองตลาดปัจจุบันที่มองไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง รวมถึงขาด S Curve ใหม่ๆ ของเศรษฐกิจ)
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกลยุทธ์ให้น้ำหนักเรื่องที่พร้อมขับเคลื่อนระยะสั้น - กลาง (ตามสมัยรัฐบาลปัจจุบันที่เหลือราว 3 ปี) ที่จะเกิดขึ้นได้จริง นอกจากมาตรการตลาดทุนที่มีพัฒนาการต่อเนื่อง ในฝั่งภาคเศรษฐกิจจริง หลักๆ เน้นไปที่ 3 กลุ่มคือ
ภาคบริโภคครัวเรือน : มองแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน และ Digital Wallet ที่จะอัดฉีดสภาพคล่องคืนสู่ระบบ ฝ่ายฯมองสามารถทำได้เร็ว ผสาน แนวทางช่วยเหลือ SME ในส่วนศักยภาพการแข่งขัน (แนวทาง Protectionism กีดกันสินค้าจีน ฝ่ายฯมองทำได้เร็ว) หนุนหุ้นกลุ่ม Domestic ค้าปลีก, เช่าซื้อ, ธนาคาร เน้น CPALL, CPAXT, MTC, KTB, KBANK, BBL
ภาคบริการ ท่องเที่ยว Entertainment Complex ฝ่ายฯมองน่าจะเห็นแนวทางที่เป็นรูปธรรมกว่าทันสมัยรัฐบาล และมีโอกาสเห็นการทำสัญญาเอกชนที่สนใจได้ทัน จิตวิทยาบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว AOT, BA, ERW และหุ้นที่มีกระแสข่าวสนใจในธุรกิจดังกล่าว BTS, VGI, AWC ส่วน Soft Power ที่ฝ่ายฯมองเป็นไปได้เร็ว คือ แฟชั่นที่ได้ทรัพยากรความสวยงามของผู้หญิงไทย บวกต่อ Media Contents
อุตสาหกรรม S Curve ใหม่ ฝ่ายกลยุทธ์มอง Data Center รวมถึง EV ที่เริ่มไปแล้วน่าจะต่อยอดได้เร็ว และการออกหรือคลายข้อกฎหมายในส่วนไฟฟ้าที่ใช้สนับสนุน มีโอกาสทำให้เม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นดังเช่นมาเลเซีย อินโดนีเซีย เน้นหุ้นได้ประโยชน์ธีม Data Center คือ WHA, GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนิคมฯ และ Utility (น้ำ) โดย 1. ส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวาของโลก สนับสนุนจากไทยไม่มีความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ 2. ส่งเสริมไทยเป็นส่วนหนึ่งของ supply chain โลก สนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนรถ EV โดยใช้ Ecosystem ที่มีอยู่แล้ว 3. ศึกษาแนวทางลดค่าไฟฟ้าและพลังงานสะอาด เพื่อลดต้นทุนไฟฟ้า และ 4. ศึกษาแผนลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ฝ่ายวิจัยมองว่าจากนโยบายข้างต้น แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลควรจะสนับสนุน FDI ต่อไป ซึ่งจะสนับสนุนการขายที่ดินเพิ่มขึ้น และ บริษัท IE ทั้งหมดจะได้รับประโยชน์ ได้แก่ AMATA, ROJNA, WHA, PIN
การส่งเสริมพลังงานสะอาด จะเป็นโอกาสของ WHAUP ในการประมูล หรือ พัฒนา Solar Rooftop / Solar Farm
การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ช่วยดึงดูด FDI สำหรับบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้รวมต่ำกว่า 2 หมื่นล้านยูโรต่อปี และ universe ของเรากำไรจะเพิ่มขึ้น
ลดค่าไฟฟ้า Positive กับ TTW ซึ่งต้นทุนค่าไฟคิดเป็น 30-40% ของต้นทุนผลิตน้ำประปา
ลดค่าไฟฟ้า ถ้าลดค่าไฟฟ้าอย่างเดียวก็จะ Negative กับ SPP แต่ถ้าต้นทุนก๊าซลดลงด้วยก็จะ Neutral (AMATA, ROJNA, WHA, WHAUP ถือหุ้นใน SPP) ถ้าต้นทุนก๊าซลดลงมากกว่าราคาขายไฟก็จะ Positive
ขณะที่การอยู่ใน supply chain โลก ไทยต้องทำ FTA กับหลายๆ ประเทศ รวมถึงเป็นสมาชิก CPTPP ด้วย ซึ่งเป็นไปได้ยาก เพราะไม่มีเจ้าภาพตัวจริงที่จะทำเรื่องนี้
ดังนั้นฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำซื้อ AMATA ราคาเป้าหมาย 29 บาท , ROJNA 9.2 บาท , WHA 5.9 บาท , WHAUP 5.2 บาท จะได้ประโยชน์ทางอ้อมหาก WHA ขายที่ได้มากขึ้น และ TTW 9.2 บาท