posttoday

ศุกร์13! หุ้นไทยแกว่งสร้างฐานเหนือ 1,400 จุด

13 กันยายน 2567

บรรยากาศลงทุนค่อนข้างผ่อนคลาย ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่แย่ พร้อมเกาะติดสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ สองโบรกส่องหุ้นไทยวันศุกร์แกว่งสร้างฐานเหนือแนวรับ 1,400 จุด เคาะกรอบ SET วันนี้ไซด์เวย์ 1,405-1,438 จุด

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ตลาดหุ้นวานนี้ SET Index ปรับตัวขึ้นได้ตามตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนีปิดบวก 6.17 จุด ที่ระดับ 1,421.58 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่บางลงเหลือ 4.75 หมื่นล้านบาท หนุนโดยกลุ่มธนาคาร สื่อสาร และอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 62 ล้านบาท และ 827 ล้านบาทตามลำดับ (ต่างชาติพลิกมา Long Index Futures 4.6 พันสัญญา)

     แนวโน้มตลาดวันนี้(13 ก.ย.2567) ฝ่ายวิเคราะห์คาด SET Index แกว่ง Sideways to Sideways Up โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวในระยะนี้ที่ 1,405-1,438 จุด หนุนจากบรรยากาศการลงทุนที่ยังค่อนข้างผ่อนคลาย ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา เงินเฟ้อ PPI ขยับตัวสูงกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย +0.2% m-m, +1.7% y-y ส่วนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานออกมาตามคาดที่ 2.3 แสนคน (ขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 2.28 แสนคนสัปดาห์ก่อน) อย่างไรก็ตามตลาดมีการปรับคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ FED โดยมองความน่าจะเป็นที่จะปรับลดดอกเบี้ย 25 bps ลดลงจาก 85% วันก่อนหน้าเหลือ 57% โดยเพิ่มโอกาสจะเริ่มลดดอกเบี้ย 50 bps มากขึ้นในสัปดาห์หน้า 

     ส่วนปัจจัยในประเทศนอกเหนือจากต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือว่าจะลุกลามขยายวงกว้างหรือไม่ อีกปัจจัยสำคัญที่ตลาดรอจับตา คือ การประชุมนัดแรกวันที่ 17 ก.ย. ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาทว่าจะออกมารูปแบบไหน เมื่อใด รวมถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเดือน ต.ค. ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงมุมมองเชิงบวกและตลาดมีความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยใน 4Q24-2025 จากนโยบายเศรษฐกิจที่จะทยอยออกมาจาก ครม. ซึ่งจะเป็นบวกโดยเฉพาะฝั่งการบริโภคในระยะสั้น ขณะที่เม็ดเงินใหม่จากกองทุนวายุภักษ์ 1-1.5 แสนล้านบาท จะเข้ามาหนุนหรือจำกัด Downside ของ SET Index ใน 4Q24

     กลยุทธ์เลือกหุ้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 2H24 แข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว หุ้นเด่นเดือน ก.ย. BDMS, CPALL, ICHI, MTC, NSL ขณะที่ FSSIA Portfolio : AOT, CHG, CPALL, CPN, GPSC, KCG, KTB, MTC, NSL, SHR, TU

     หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ “ซื้อ” AAV ราคาเป้าหมาย 3.30 บาท คาดกำไร 3Q-4Q24 ของ AAV จะเติบโตทั้ง q-q และ y-y หนุนจากปัจจัยฤดูกาลหลังผ่าน Low Season ต่ำสุดใน 2Q24 ไปแล้ว โดยล่าสุด Load Factor เดือน ก.ค.-ส.ค. อยู่ที่ราว 91-92% และค่าตั๋วเครื่องบินคาดปรับขึ้น 13-16% เป็น 1,950-2,000 บาท อีกทั้ง AAV ได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยเบื้องต้นประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าจะเป็นทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 1 พันล้านบาท ขณะที่ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันเครื่องบินที่ปรับลง 17% YTD เป็นอีกปัจจัยบวกต่อต้นทุน ขณะที่เรื่องภาษีสรรพสามิตเชื้อเพลิงอากาศยาน หากรัฐบาลปรับลดลงจะเป็น Upside ต่อประมาณการ มองแนวรับ 2.50 / 2.40 บาท แนวต้าน 2.68 / 2.90 - 3 บาท

     Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลเข้าภูมิภาคสุทธิ US$1,832 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$1,345 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$366 ล้าน ส่วนอาเซ๊ยนเม็ดเงินไหลเข้าเกือบทุกประเทศ สูงสุดที่อินโดนีเซีย US$98 ล้าน และมีเพียงเวียดนามที่ไหลออกบางๆ US$8 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าจะยังอยู่ในทิศทางไหลเข้าจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวกและเม็ดเงินยังทยอยไหลกลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น ส่วนโฟกัสหลักยังอยู่ที่การประชุม FED สัปดาห์หน้า

     ประเด็นสำคัญวันนี้
     (+) กลุ่มสายการบิน เราคาดกำไรปกติ 3Q24 ของทั้ง AAV และ BA จะโต y-y และ q-q โดยได้แรงหนุนจากราคาเชื้อเพลิงอากาศยานได้ปรับตัวลดลง 17% YTD ทั้งนี้ราคาเชื้อเพลิงที่ลดลงทุกๆ US$5 จะช่วยลดค่าเชื้อเพลิงได้ประมาณ 200 ลบ. ต่อไตรมาส ให้แก่ AAV และ 35 ลบ. ต่อไตรมาสให้แก่ BA เราคาด Load factor และค่าบัตรโดยสารน่าจะปรับตัวดีขึ้น y-y ใน 3Q24 นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจลดภาษีสรรพสามิตเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เรายังให้น้าหนักมากกว่าตลาด Valuation ต่ำพร้อมปัจจัยบวกที่รออยู่ข้างหน้า คงคำแนะนำ “ซื้อ” สาหรับ AAV (ราคาเป้าหมาย 3.30 บาท) และ BA (ราคาเป้าหมาย 28 บาท)
     (+) MAGURO เซ็นสัญญากับ Find Co.,Ltd, Japan เพื่อได้รับสิทธิ Franchise แต่เพียงผู้เดียวในไทยในการเปิดร้านอาหาร Tonkatsu Aoki ซึ่งเป็นร้านหมูทอดทงคัตสึชื่อดัง เป็นหมูทอดจิ้มเกลือเจ้าแรกในญี่ปุ่น ปัจจุบันมี 13 สาขาในญี่ปุ่น โดยจะเปิดสาขาแรกในไทยเดือน พ.ย. และรอดูผลตอบรับขอสาขาแรก ก่อนพิจารณาขยายสาขาเพิ่มขึ้นในอนาคต สำหรับสาขาแรกนี้ เราได้รวมไว้ในประมาณการแล้ว แต่จะเริ่มส่งผลบวกอย่างมีนัยสำคัญในปี 2025 แบรนด์หมูทอดนี้ถือเป็นเมนูใหม่ของ MAGURO แต่ในตลาดถือว่ามีการแข่งขันระดับหนึ่ง ถือเป็นแบรนด์ใหม่แบรนด์ที่ 4 โดยยังมีแบรนด์ใหม่แบรนด์ที่ 5 ของบริษัทซึ่งจะเกิดสาขาแรกใน 4Q24 เช่นกัน ยังคงประมาณการและราคาเป้าหมายเดิม 22 บาท แนะนำ “ซื้อ”
     (+) MOSHI คาดกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 99 ลบ. เพิ่มขึ้น 22% q-q และ y-y โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 7.5% q-q, 16.9% y-y จากการเปิดร้าน Moshi เพิ่ม 6 สาขา รวมเป็น 156 สาขา และ SSSG พลิกกับเป็นบวก 4-5% y-y จากติดลบ 8.5% y-y ใน 2Q24 จากปัญหาขาดแคลนสินค้า ที่สำคัญบริษัทได้เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านร้าน 7-11 ครั้งแรกตั้งแต่วัน 12 ก.ย. 2024 เป็นต้นมา หากได้รับการตอบรับดีก็จะเป็น Upside ต่อประมาณการของเรา แนวโน้ม 2H24 จะดีกว่า 1H24 จาก High Season ของธูรกิจ และจำนวนสาขาที่เปิดเพิ่มและ SSSG ที่ดีขึ้น คงประมาณการปี 2024-26 โตเฉลี่ย +18% CAGR และราคาเป้าหมาย 50 บาท ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ”
     (+) หุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์ 1 ระบุให้ผลตอบแทน 3-9% ระยะเวลาลงทุน 10 ปี เราคัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายโดยอ้างอิง หุ้นที่มี ESG Rating A ขึ้นไปสำหรับ SET100 และ AA ขึ้นไปสำหรับหุ้นนอก SET100 โดยเน้นหุ้นที่มี Dividend Yield ราว 3% หรือสูงกว่า หรือหุ้นเติบโตดี (Dividend Yield อาจไม่ถึง 3%) ได้แก่ ADVANC AP BAM BBL BCH BDMS BJC CPALL CPN HMPRO ICHI INTUCH KBANK KTB MEGA MINT OSP SC SIRI TISCO WHA WHAUP PR9
     (+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 235.06 จุด หรือ +0.58% ปิดที่ 41,096.77 จุด หลังจากการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมสัปดาห์หน้า
     (+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้ง ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้ระดับเป้าหมาย 2% และเศรษฐกิจใกล้เข้าสู่ภาวะถดถอย
     (-) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบ เป็นส่วนใหญ่ยกเว้นตลาด CSI ที่เปิดบวกเล็กน้อย โดยในวันนี้มีประเด็นในภูมิภาคที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่าง รายงานดัชนีเงินเฟ้อเดือน ส.ค. ของอินเดียที่ 3.65% y-y สูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อย
     (+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 33.44 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.87%
     (+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.66 ดอลลาร์ หรือ 2.47% ปิดที่ 68.97 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยตลาดได้แรงหนุนจากข่าวพายุเฮอร์ริเคนฟรานซีน (Francine) ที่พัดขึ้นฝั่งรัฐลุยเซียนาและส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 69.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.62%
     (+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 38.20 ดอลลาร์ หรือ 1.50% ปิดที่ 2,580.60 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,589.90 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.36% SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 870.78/ +0.53%

 

Sideway Up

     บล.ไอร่า คาดตลาดวันนี้ “Sideway Up” มองแนวรับที่บริเวณ 1,415 / 1,406 จุด และแนวต้านที่บริเวณ 1,430 / 1,438 จุด ฝ่ายวิเคราะห์มองตลาดไม่มีปัจจัยใหม่เข้าสนับสนุน โดยเมื่อคืนนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน ส.ค. ออกมาอยู่ที่ระดับ +0.2%MoM / +1.7%YoY ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้และสอดคล้องกับการรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ส.ค. ก่อนหน้า สะท้อนเงินเฟ้อสหรัฐทั้งทางฝั่งผู้บริโภคและผู้ผลิตยังอยู่ในภาพของการชะลอตัวลงแบบค่อยเป็นค่อยไป

     ขณะที่การรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐออกมา 2.3 แสนรายมากกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย สะท้อนตลาดแรงงานสหรัฐลดความร้อนแรงลง ทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าวทำให้ฝ่ายวิเคราะห์คงมุมมองต่อคาดการณ์ของเราถึงแนวโน้มในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในการประชุม FOMC เดือน ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นปัจจัยสะท้อนถึงการจบรอบขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED มองเป็นปัจจัยหนุนทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นได้ต่อในระยะถัดไป

     การดีเบตของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐที่ผ่านมาส่งผลโพลของรองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส มีคะแนนเสียงมากกว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์มองช่วยให้ตลาดผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการออกมาตรการกีดกันทางการค้า(Trade War)ได้บ้าง เป็นปัจจัยบวกช่วยหนุนทิศทางตลาดหุ้นจีน-ภูมิภาคฟื้นตัวได้บ้างในระยะสั้น อย่างไรก็ตามฝ่ายวิเคราะห์ยังมองการเลือกตั้งสหรัฐยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูงคาดจะส่งผลให้ตลาดผันผวนได้ต่อ

     ด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค. ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงมุมมองราคาน้ำมันดิบมีโอกาสรีบาวด์ขึ้นได้บ้างในระยะสั้น หลังปรับตัวลงรับรู้อุปสงค์น้ำมันของจีนที่อ่อนแอไปแล้วในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ความกังวลผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนฟรานซีน (Francine) ทำให้บริษัทน้ำมันสหรัฐหลายแห่งระงับการผลิตของแท่นขุดนอกชายฝั่ง ส่งผลให้อุปทานน้ำมันของสหรัฐในระยะสั้นลดลงบ้าง อีกทั้งฝ่ายวิเคราะห์ยังคงมุมมองการปรับลดอุปสงค์น้ำมันของ OPEC เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงแนวโน้มของ OPEC+ ในการชะลอแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อทดแทนส่วนที่หายไปของลิเบีย อีกทั้งแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ FED คาดจะช่วยจำกัด Downside ของทิศทางราคาน้ำมันดิบ-หุ้นในกลุ่มพลังงานได้บ้าง

     ส่วนปัจจัยภายในประเทศ มีมุมมองเชิงบวกต่อการส่งสัญญาณถึงเร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ตเร็วสุดวันที่ 25-26 ก.ย. นี้โดยจะจ่ายให้กับผู้เปราะบาง 14.2 ล้านคนวงเงินราว 1.4 แสนล้านบาทก่อน ฝ่ายวิเคราะห์คาดจะช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของเม็ดเงินในเศรษฐกิจได้ตั้งแต่ปลาย 3Q’67-4Q’67 รวมทั้งการเร่งออกกองทุนวายุภักษ์วงเงิน 1-1.5 แสนล้านบาทที่คาดเม็ดเงินจะเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ ฝ่ายวิเคราะห์คงมองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อหุ้นไทยโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Big Cap. (ธนาคาร, ค้าปลีก และโรงไฟฟ้า) อีกทั้งยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการออกนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ ผ่านงบประมาณปี’67-68 มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยได้ต่อ

     อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในภาคกลางตอนบนของประเทศไทยจากฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยหากยังไม่สามารถคลี่คลายได้อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อ GDP ของไทยรวมทั้ง EPS ของตลาดหุ้นไทยได้ อย่างไรก็ตามเรามองเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการซ่อมแซมบ้านเรือนหลังน้ำลดอาทิ (HMPRO, GLOBAL, DOHOME, DCC และ DRT) รวมทั้งหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าจำเป็นเกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคและการบริจาค (CPALL และ CPAXT)

     ธีมการลงทุน “Selective Play” หลักทรัพย์แนะนำวันนี้ “SCB” คาดเป็นหนึ่งในหุ้นเป้าหมายของกองทุนวายุภักษ์ จากการเป็นหุ้นที่มีคะแนน SET ESG Rating AA และมีระดับการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง อีกทั้ง 3Q’67 นักวิเคราะห์มอง SCB จะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนของ Robinhood และคาดจะไม่มีการตั้งสำรองขนาดใหญ่จาก 2Q’67 ที่ตั้งสำรองสินเชื่ออุตสาหกรรมพลังงานที่มีปัญหาเลื่อนชำระหุ้นกู้ไปเต็มจำนวนแล้ว กลยุทธ์ “เก็งกำไร” แนวรับ 112 / 111 บาท Target 115.50 / 120 บาท Stop <110 บาท