บลจ.อเบอร์ดีน ชี้นโยบาย “ทรัมป์” ดันดัชนีหุ้นไทยปี 68 ทะยาน 1,500-1,600 จุด
บลจ.อเบอร์ดีน ปรับประมาณการสหรัฐ ทั้ง GDP-เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยเฟด หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับชัยชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมประเมินนโยบาย “ทรัมป์” หนุนดัชนีหุ้นไทยปี 68 ทะยาน 1,500-1,600 จุด
Mr. Dongyue Zhang, Head of Investment Specialists APAC, Multi-Asset Solutions, abrdn Investments เปิดเผยว่า หลังจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจากนโยบาย American First ของทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินการคลัง และสินทรัพย์ทั่วโลก
ดังนั้น บลจ.อเบอร์ดี ได้มีการปรับประมาณการของสหรัฐฯ ใน 3 ส่วน ได้แก่ 1.อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) มีโอกาสเติบโตสูงขึ้น โดยในปี 2567 จะเติบโต 2.7% และปี 2568 จะเติบโต 2%
2.อัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางหสรัฐฯ (เฟด) คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.2567 จำนวน 1 ครั้ง ในอัตรา 0.25% และในปี 2568 ลดอัตราดอกเบี้ยไตรมาสละ 1 ครั้งๆ ละ 0.25% รวมตั้งแต่เดือน ธ.ค.2567 ถึงสิ้นปี 2568 ลดอัตราดอกเบี้ยรวมกัน 1.25% จากเดิมที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมกัน 2%
3.ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ 3% ในปี 2568 จากดัชนี CPI ล่าสุด เดือน ต.ค.2567 อยู่ที่ 2.6% เนื่องจากอุตสาหกรรมภาคบริการที่มาจากแรงงานจะมีต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับมุมมองการลงทุนทั้งตลาดหุ้นพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ สำหรับตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐฯ ได้ผลบวกจากนโยบายทรัมป์ ส่งผลดีต่อบริษัทต่างๆ เช่น การลดภาษี ทำให้ดึงดูดเงินเข้าสหรัฐฯ มาก จึงเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงแนวโน้มเทคโนโลยียังเติบโตจากความต้องการใช้ที่มีมาก จึงยังมองบวกหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ
ขณะที่นโยบายของทรัมป์จะมีผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีน แต่มองว่าเป็นโอกาสเข้าลงทุน เช่น จีน และอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศขนาดใหญ่และขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจีนมีศักยภาพและผลักดันเศรษฐกิจได้ หลังผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง บวกกับราคาหุ้นจีนมีราคาถูก 15% เมื่อเทียบในอดีต อีกทั้งปัจจุบันมีการซื้อหุ้นคืนจำนวนมาก จึงมองหุ้นจีนน่าสนใจ
ส่วนอินเดีย ยังมีการเติบโตที่ดีและเป็นตลาดหุ้นที่ไม่ค่อยอิงกับความผันผวนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดีย พึ่งพาการผลิตในประเทศและการบริโภคในประเทศเป็นหลัก
ด้านผลต่อตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ประเมินเป้าหมายดัชนี SET จะอยู่ในกรอบ 1,500-1,600 จุด ที่ P/E ราว 15 เท่า และ EPS Growth อยู่ที่ 8-10% โดยที่ประเทศไทยยังได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตออกมาจากจีน ทำให้ยังคงเห็นเม็ดเงินลงทุนเข้ามาต่อเนื่อง และค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่ายังหนุนต่อการส่งออก ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย