ดอกเบี้ยขาลง-แห่เที่ยวไทยฟื้นเศรษฐกิจปี68โตกว่า 3% ดัชนีหุ้นลุ้น 1,614 จุด
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวในงานสัมมนาโค้งสุดท้ายลงทุน ThaiESG ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดขยายตัวมากกว่า 3% ผลจากเศรษฐกิจโลกฟื้น บวกทิศทางอัตราดอกเบี้ยลดลงต่อเนื่อง , การท่องเที่ยวในประเทศคาดว่าจะดีกว่าที่ผ่านมา ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศคึกคัก
อีกทั้ง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และดาต้าเซ็นเตอร์ดึงดูดความสนใจให้บริษัทต่างๆสนใจเข้ามาสร้างฐานการลงทุนในไทย
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา เรื่องแรก คือ วิกฤตอสังหาฯจีนคาดว่ายังไม่จบ ต้องแก้เรื่องหนี้เสียให้จบซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปีและอาจทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ไม่ดีนัก
เรื่องต่อมาที่ต้องติดตาม คือ นโยบายการเก็บภาษีของ "โดนัลด์ ทรัมป์" อาจส่งผลให้เกิดสงครามการค้าหรือการตอบโต้ทางการค้า ส่งผลให้การค้าทั่วโลกปั่นป่วนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่านักธุรกิจยังพอรับมือต่อสถานการณ์ดังกล่าวได้
แต่เรื่องที่น่ากังวล คือ ความเสี่ยงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะสงคราม ซึ่งก่อนที่ "ทรัมป์"จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคาดสงครามอาจร้อนแรงขึ้น ทั้งความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน , ภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึง จีนและไต้หวัน ถือเป็นสถานการณ์ที่ควบคุมหรือหลีกเลี่ยงได้ยาก และค่อยข้างมีผลต่อธุรกิจโดยรวมที่อาจหยุดชะงักได้
อย่างไรก็ดี ทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2568 นักวิเคราะห์คาดการณ์เป้าหมาย SET INDEX ที่ระดับ 1,614 จุด จากสิ้นปี 2567 นี้คาดอยู่ที่ระดับ 1,494 จุด ผลจากเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตดีกว่าปีนี้ บวกกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งการย้ายฐานลงทุนช่วยเพิ่มบรรยากาศการลงทุนคึกคัก
"หุ้นไทยปีหน้ามองว่าดี แม้ระหว่างทางอาจจะผันผวน แต่เชื่อว่าการท่องเที่ยวที่คึกคักเป็นพิเศษ ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี การค้าการลงทุนดีขึ้น ความเชื่อมั่นจะกลับมา ฟันด์โฟลว์ต่างชาติจะกลับมา"
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวเช่นกันว่า ในฐานะผู้จัดการกองทุนคาดว่าตลาดหุ้นไทยปี 2568 ได้อานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนหุ้นกลุ่ม ESG ค่อนข้างมาก อีกทั้งดอกเบี้ยขาลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ตราสารหนี้ที่มีอายะระยะกลางถึงระยะยาวดีและตราสารทุนไปต่อได้ แต่ต้องเลือกลงทุนรายตัว
ส่วนเม็ดเงินลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) คาดว่าสิ้นปี 2567นี้อยู่ที่ 28,000-30,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท โดยคาดหวังว่า 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้น่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาอีก 5,000-8,000 ล้านบาท
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Officer บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า ภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุนปี 68 แนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกมีความไม่แน่นอนมากขึ้นจากสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐฯที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้นนโยบายของทรัมป์ต่อการขึ้นภาษีนําเข้าสินค้าจากประเทศอื่นทั่วโลกและการออกจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆส่งผลให้ค่าเงิน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีความผันผวนมากขึ้นจากความคาดหวังเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ด้วยความเสี่ยงของภาษีนําเข้าสินค้าของสหรัฐฯทําให้การค้าโลกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทําให้ตลาดอาจจะเปลี่ยนจาก 1)สภาวะ Goldilocks เป็น Stagflation 2)เน้นไปที่การเติบโตมากกว่าแนวโน้มดอกเบี้ย และ 3)การลงทุน เฉพาะเจาะจงเป็นการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น
เศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องแต่เป็นการเติบโตที่ช้าเมื่อเทียบกับภูมิภาค ผลจากการบริโภคภายในประเทศ ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการลงทุนจากภาครัฐเป็นสําคัญ ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมองว่าเป็นปัจจัยสนับสนุน ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อนจากภายนอก เช่น การส่งออก และการลงทุนจากต่างประเทศมีความเสี่ยงสูง
ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 68 คาดว่าจะเป็นบวก ขณะที่ครึ่งหลังของปี68จะเป็นลบมากขึ้นจากการทํานโยบายภาษีของ ทรัมป์ และการตอบโต้ทางการค้ามากขึ้น นอกจากนั้นแรงหนุนของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์จะเริ่มชะลอตัวลง โดยมองว่า Upside ของ SET Index จะได้รับแรงหนุนจากกําไรที่เติบโต 22% จากการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชน โดยมองเป้าหมาย SET Index ที่ 1,550 จุด และประเมินว่า SET Index มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,600-1650 จุดได้มีความเป็นไปได้ใน 2 ปีข้างหน้า ในกรณีที่ 1) ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.5% 2) มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 3) การลงทุนจากต่างชาติเป็นไปตามแผนของ BOI และ 4) นโยบายภาษีนําเข้าสินค้าของสหรัฐฯน้อยกว่าตลาดคาดที่ 20% สําหรับจีนสูงสุด 60%
"เทรนด์ลงทุนปีหน้าคงเน้น 1.เทรนด์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Wellness Tourism พวกหุ้นโรงพยาบาล,สปา อย่าง BDMS,BH,SPA,MINT 2.เทรนด์ Sustainability อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จะอยู่ในภาคส่วนของการสร้างคาร์บอนเครดิตเพื่อขายและกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีโอกาสเติบโตจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 3.Data Centerถือเป็นเทรนด์อนาคต หุ้นที่ได้อานิสงส์ตัวแรกคือนิคมอุตสาหกรรม WHA,AMATA"