ถอดบทเรียน "NISA" สู่ลงทุน "TISA" ซื้อหุ้นไทยถือยาว ได้ลดหย่อนภาษี

ถอดบทเรียน "NISA" สู่ลงทุน "TISA" ซื้อหุ้นไทยถือยาว ได้ลดหย่อนภาษี

10 มีนาคม 2568

ถอดบทเรียนโครงการ Nippon Individual Savings Account (NISA) การออมและการลงทุนเพื่ออนาคตประเทศญี่ปุ่น สู่โมเดล "TISA" ซื้อหุ้นไทยถือยาว ได้สิทธิลดหย่อนภาษี ดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่ไหลเข้า พลิกฟื้นตลาดหุ้น เรียกคืนแรงศรัทธา

KEY

POINTS

  • ถอดบทเรียนโครงการ Nippon Individual Savings Account (NISA) การออมและการลงทุนเพื่ออนาคตประเทศญี่ปุ่น
  • สู่โมเดล "TISA" ซื้อหุ

ก่อนจะพาผู้อ่านไปรู้จัก โครงการ "Thailand Individual Savings Account (TISA)" ซื้อลงทุนระยะยาวหุ้นไทย ได้สิทธิลดหย่อนภาษีนั้น ขอพาทุกท่านรู้จักกับโมเดลต้นแบบ นั่นก็คือ "Nippon Individual Savings Account (NISA)" โครงการที่รัฐบาลญี่ปุ่นริเริ่มขึ้นในพ.ศ.2557 เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหันมาลงทุนและออมเงินในระยะยาว โดยมอบสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อจูงใจให้ผู้คนเข้ามาใช้บัญชีประเภทนี้มากขึ้น อีกทั้งเพื่อลดการพึ่งพาระบบบำนาญของรัฐและส่งเสริมให้ประชาชนมีความมั่นคงทางการเงินในอนาคต 

แม้ NISA จะได้รับการตอบรับที่ดี แต่ยังมีบทเรียนที่น่าสนใจก่อนที่ประกาศใช้จริง นั่นก็คือ "NISA" เป็นบัญชีเพื่อการลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งแบบ "ทั่วไป (Traditional NISA)" เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเลือกซื้อหุ้น ลงทุนได้สูงสุด 1.2 ล้านเยนต่อปี ยกเว้นภาษีระยะเวลา 5 ปี วงเงินลงทุนสะสม 18 ล้านเยน

และแบบ "สำหรับการออม (Tsumitate NISA)" เน้นลงทุนในกองทุนรวมแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อการออมระยะยาวเป็นหลัก ลงทุนได้สูงสุด 40,000 เยนต่อเดือน หรือราว 480,000 เยนต่อปี วงเงินลงทุนสะสม 6 ล้านเยน กำไรจากการลงทุนจะได้รับการยกเว้นภาษีในระยะเวลา 20 ปี

ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกแบบ NISA เพื่อตอบโจทย์คนหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่นักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการสะสมความมั่งคั่ง ไปจนถึงผู้ที่ต้องการบริหารเงินหลังเกษียณ

ถอดบทเรียน \"NISA\" สู่ลงทุน \"TISA\" ซื้อหุ้นไทยถือยาว ได้ลดหย่อนภาษี

หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ NISA ได้รับความนิยม คือ "การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่ผู้ลงทุน" ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แม้จะมีข้อจำกัดของวงเงินลงทุนที่ได้รับการยกเว้นภาษียังเป็นข้อถกเถียงว่ายังเพียงพอต่อการกระตุ้นการลงทุนระยะยาวหรือไม่

แม้ว่า NISA จะมีข้อดี แต่ปัญหาหลักที่พบคือประชาชนจำนวนมากยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน ส่งผลให้บางคนใช้ NISA อย่างไม่มีประสิทธิภาพ บางส่วนไม่กล้าเสี่ยง หรือเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะสม ดังนั้น การให้ความรู้ด้านการเงินควรเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จในระยะยาว

เรื่องของความยั่งยืนของโครงการ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยเศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำมาเป็นเวลานาน ซึ่งอาจเป็นแรงกระตุ้นให้ประชาชนสนใจลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากสภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง เช่น ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือภาวะตลาดหุ้นผันผวน รัฐบาลควรปรับโครงสร้างของ NISA อย่างไรเพื่อให้ประชาชนยังคงได้รับประโยชน์

จุดเริ่มต้นของ "โมเดล TISA" 

หลังจาก ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากได้มุมมองเรื่อง "จั๊มพ์พลัส (JUMP+)" เพื่อปรับเพิ่มศักยภาพบริษัทจดทะเบียนแล้ว

สิ่งสำคัญคือ แนวคิดโครงการออมหุ้นระยะยาวที่เรียกว่า "Nippon Individual Savings Account (NISA)" โมเดลดังกล่าวเปิดให้คนญี่ปุ่นทั่วไปสามารถซื้อหุ้นญี่ปุ่นในบัญชีที่กำหนด แล้วนำยอดเงินไปหักลดหย่อนภาษี ซึ่งในญี่ปุ่นกำหนดกรอบบัญชีถือหุ้นได้ไม่เกิน 6 ล้านเยน เพื่อสร้างวินัยการออมและเพิ่มฐานนักลงทุนไทยในระยะยาว

เช่นเดียวกัน โมเดลในประเทศไทยจะมีการปรับเปลี่ยนชื่อเป็น "Thailand Individual Savings Account (TISA)" โครงการออมเพื่อซื้อหุ้นไทย ผู้ซื้อจะได้สิทธิยกเว้นภาษีสำหรับเงินลงทุนในหุ้นระยะยาว เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทย

TISA ถือเป็นมาตรการใหม่ที่ช่วยสนับสนุนหุ้นไทยโดยตรง โดยมีเงื่อนไขว่า "ต้องถือครองหุ้นไปจนถึงวัยเกษียณถึงจะขายหุ้นออกมาได้โดยไม่เสียภาษี" โดยนักลงทุนสามารถ "ลงทุนหุ้นไทยแบบรายตัวได้และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีบุคคลประจำปี ภายใต้เพดานที่กำหนด" คล้ายคลึงกับกองทุนประหยัดภาษี แต่ไม่ใช่มาตรการที่เข้ามาแทนกองทุนรวมที่มีอยู่ ทั้ง RMF หรือ ThaiESG

ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ , กองทุน CMDF และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ แต่เบื้องต้นต้องหารือกับกระทรวงการคลังว่าเห็นด้วยหรือไม่ และจะกระทบกับรายได้จากการจัดเก็บภาษีอย่างไร

"ถ้า TISA สำเร็จ คนไทยจะสามารถเก็บสะสมหุ้นได้ พร้อมกับได้ยกเว้นภาษี นี่เป็นการสะสมหุ้นโดยตรงที่ไม่ต้องผ่านกองทุน ซึ่งต้องไปคุยกับกระทวงการคลังก่อนว่าจะแบ่งงานเหล่านี้ที่ไม่ต้องเสียภาษีกระทรวงการคลังคิดเห็นอย่างไร ซึ่งผมมองว่าไม่มีน่าปัญหา"ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

ถามว่า..โมเดล TISA จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆไหลเข้าและพลิกฟื้นดัชนีตลาดหุ้นไทยให้กลับคืนมาได้หรือไม่ ? ประธานตลาดหลักทรัพย์ส่งยิ้มพร้อมกับพูดว่า "แน่นอน"

อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีอีกหลายมาตรการที่จะนำมาช่วยฟื้นตลาดหุ้นไทย อย่างการเสนอแนวทาง แก้กฎหมายตลาดทุนแบบเร่งด่วน (Omnibus Law) ที่ครอบคลุมทั้งกฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายมหาชน และกฎหมายส่งเสริมการลงทุน เพื่อเร่งปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายที่ขัดขวางการพัฒนาตลาดทุนไทย คาดว่าการแก้ไขกฎหมายเหล่านี้จะมีความชัดเจนภายใน 3-4 เดือนข้างหน้า

"NISA" เป็นตัวอย่างของโครงการที่รัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ประชาชนออมและลงทุนเพื่ออนาคต โดยมีสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเป็นแรงจูงใจหลัก อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการลักษณะนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาตรการจูงใจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความรู้ทางการเงินของประชาชนและการออกแบบที่เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละประเทศ

สำหรับ "ประเทศไทย" นั้น ความกังวลไม่ได้อยู่ที่การนำมาใช้ เพราะเชื่อว่าการศึกษาโมเดลของระดับหัวกระทิของประเทศอย่างตลาดหลักทรัพย์ฯไม่น่าจะพลาดรายละเอียดใดๆ เพียงแต่หากไม่รีบนำมาใช้แล้วนักลงทุนจะมีเงินมาลงทุนหรือไม่ ในยามที่เศรษฐกิจย่ำแย่และคนทำงานส่อแววว่าจะตกงานอีกมากโขแบบนี้!!

Thailand Web Stat