
ถอดบทเรียน "NISA" สู่ลงทุน "TISA" ซื้อหุ้นไทยถือยาว ได้ลดหย่อนภาษี
ก่อนจะพาผู้อ่านไปรู้จัก โครงการ "Thailand Individual Savings Account (TISA)" ซื้อลงทุนระยะยาวหุ้นไทย ได้สิทธิลดหย่อนภาษีนั้น ขอพาทุกท่านรู้จักกับโมเดลต้นแบบ นั่นก็คือ "Nippon Individual Savings Account (NISA)" โครงการที่รัฐบาลญี่ปุ่นริเริ่มขึ้นในพ.ศ.2557 เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหันมาลงทุนและออมเงินในระยะยาว โดยมอบสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อจูงใจให้ผู้คนเข้ามาใช้บัญชีประเภทนี้มากขึ้น อีกทั้งเพื่อลดการพึ่งพาระบบบำนาญของรัฐและส่งเสริมให้ประชาชนมีความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
แม้ NISA จะได้รับการตอบรับที่ดี แต่ยังมีบทเรียนที่น่าสนใจก่อนที่ประกาศใช้จริง นั่นก็คือ "NISA" เป็นบัญชีเพื่อการลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งแบบ "ทั่วไป (Traditional NISA)" เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเลือกซื้อหุ้น ลงทุนได้สูงสุด 1.2 ล้านเยนต่อปี ยกเว้นภาษีระยะเวลา 5 ปี วงเงินลงทุนสะสม 18 ล้านเยน
และแบบ "สำหรับการออม (Tsumitate NISA)" เน้นลงทุนในกองทุนรวมแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อการออมระยะยาวเป็นหลัก ลงทุนได้สูงสุด 40,000 เยนต่อเดือน หรือราว 480,000 เยนต่อปี วงเงินลงทุนสะสม 6 ล้านเยน กำไรจากการลงทุนจะได้รับการยกเว้นภาษีในระยะเวลา 20 ปี
ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกแบบ NISA เพื่อตอบโจทย์คนหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่นักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการสะสมความมั่งคั่ง ไปจนถึงผู้ที่ต้องการบริหารเงินหลังเกษียณ
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ NISA ได้รับความนิยม คือ "การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่ผู้ลงทุน" ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แม้จะมีข้อจำกัดของวงเงินลงทุนที่ได้รับการยกเว้นภาษียังเป็นข้อถกเถียงว่ายังเพียงพอต่อการกระตุ้นการลงทุนระยะยาวหรือไม่
แม้ว่า NISA จะมีข้อดี แต่ปัญหาหลักที่พบคือประชาชนจำนวนมากยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน ส่งผลให้บางคนใช้ NISA อย่างไม่มีประสิทธิภาพ บางส่วนไม่กล้าเสี่ยง หรือเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะสม ดังนั้น การให้ความรู้ด้านการเงินควรเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จในระยะยาว
เรื่องของความยั่งยืนของโครงการ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยเศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำมาเป็นเวลานาน ซึ่งอาจเป็นแรงกระตุ้นให้ประชาชนสนใจลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากสภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง เช่น ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือภาวะตลาดหุ้นผันผวน รัฐบาลควรปรับโครงสร้างของ NISA อย่างไรเพื่อให้ประชาชนยังคงได้รับประโยชน์
จุดเริ่มต้นของ "โมเดล TISA"
หลังจาก ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากได้มุมมองเรื่อง "จั๊มพ์พลัส (JUMP+)" เพื่อปรับเพิ่มศักยภาพบริษัทจดทะเบียนแล้ว
สิ่งสำคัญคือ แนวคิดโครงการออมหุ้นระยะยาวที่เรียกว่า "Nippon Individual Savings Account (NISA)" โมเดลดังกล่าวเปิดให้คนญี่ปุ่นทั่วไปสามารถซื้อหุ้นญี่ปุ่นในบัญชีที่กำหนด แล้วนำยอดเงินไปหักลดหย่อนภาษี ซึ่งในญี่ปุ่นกำหนดกรอบบัญชีถือหุ้นได้ไม่เกิน 6 ล้านเยน เพื่อสร้างวินัยการออมและเพิ่มฐานนักลงทุนไทยในระยะยาว
เช่นเดียวกัน โมเดลในประเทศไทยจะมีการปรับเปลี่ยนชื่อเป็น "Thailand Individual Savings Account (TISA)" โครงการออมเพื่อซื้อหุ้นไทย ผู้ซื้อจะได้สิทธิยกเว้นภาษีสำหรับเงินลงทุนในหุ้นระยะยาว เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทย
TISA ถือเป็นมาตรการใหม่ที่ช่วยสนับสนุนหุ้นไทยโดยตรง โดยมีเงื่อนไขว่า "ต้องถือครองหุ้นไปจนถึงวัยเกษียณถึงจะขายหุ้นออกมาได้โดยไม่เสียภาษี" โดยนักลงทุนสามารถ "ลงทุนหุ้นไทยแบบรายตัวได้และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีบุคคลประจำปี ภายใต้เพดานที่กำหนด" คล้ายคลึงกับกองทุนประหยัดภาษี แต่ไม่ใช่มาตรการที่เข้ามาแทนกองทุนรวมที่มีอยู่ ทั้ง RMF หรือ ThaiESG
ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ , กองทุน CMDF และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ แต่เบื้องต้นต้องหารือกับกระทรวงการคลังว่าเห็นด้วยหรือไม่ และจะกระทบกับรายได้จากการจัดเก็บภาษีอย่างไร
"ถ้า TISA สำเร็จ คนไทยจะสามารถเก็บสะสมหุ้นได้ พร้อมกับได้ยกเว้นภาษี นี่เป็นการสะสมหุ้นโดยตรงที่ไม่ต้องผ่านกองทุน ซึ่งต้องไปคุยกับกระทวงการคลังก่อนว่าจะแบ่งงานเหล่านี้ที่ไม่ต้องเสียภาษีกระทรวงการคลังคิดเห็นอย่างไร ซึ่งผมมองว่าไม่มีน่าปัญหา"ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
ถามว่า..โมเดล TISA จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆไหลเข้าและพลิกฟื้นดัชนีตลาดหุ้นไทยให้กลับคืนมาได้หรือไม่ ? ประธานตลาดหลักทรัพย์ส่งยิ้มพร้อมกับพูดว่า "แน่นอน"
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีอีกหลายมาตรการที่จะนำมาช่วยฟื้นตลาดหุ้นไทย อย่างการเสนอแนวทาง แก้กฎหมายตลาดทุนแบบเร่งด่วน (Omnibus Law) ที่ครอบคลุมทั้งกฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายมหาชน และกฎหมายส่งเสริมการลงทุน เพื่อเร่งปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายที่ขัดขวางการพัฒนาตลาดทุนไทย คาดว่าการแก้ไขกฎหมายเหล่านี้จะมีความชัดเจนภายใน 3-4 เดือนข้างหน้า
"NISA" เป็นตัวอย่างของโครงการที่รัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ประชาชนออมและลงทุนเพื่ออนาคต โดยมีสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเป็นแรงจูงใจหลัก อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการลักษณะนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาตรการจูงใจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความรู้ทางการเงินของประชาชนและการออกแบบที่เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละประเทศ
สำหรับ "ประเทศไทย" นั้น ความกังวลไม่ได้อยู่ที่การนำมาใช้ เพราะเชื่อว่าการศึกษาโมเดลของระดับหัวกระทิของประเทศอย่างตลาดหลักทรัพย์ฯไม่น่าจะพลาดรายละเอียดใดๆ เพียงแต่หากไม่รีบนำมาใช้แล้วนักลงทุนจะมีเงินมาลงทุนหรือไม่ ในยามที่เศรษฐกิจย่ำแย่และคนทำงานส่อแววว่าจะตกงานอีกมากโขแบบนี้!!