คิดที่สอง แห่ง "สี่คิด"
โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
เมื่อเรา “คิดบวก” ที่เริ่มจากตัวเรา มันคือ ตัวชี้วัดว่าเรามีปัญญามากกว่าคนทั่วไป เพราะ เมื่อใดก็ตามที่คนทั่วไปเห็นวิกฤต เราจะเห็นโอกาส เรียกได้ว่า ทุกครั้งที่คนส่วนใหญ่มีปัญหา ชีวิตหยุดชะงัก แต่ตัวเราจะกลายเป็นช่วงที่ชีวิตพุ่งแบบก้าวกระโดด
สิ่งที่ต้องมองหา คือ “คิดที่สอง” การที่เราเก่งคนเดียว มันทำงานใหญ่ไม่ได้ เช่น เราเก่งระดับ “ขงเบ้ง” ก็คงไม่สามารถครองประเทศจีนได้ หากมีตัวคนเดียว (ต้องมีกองทัพ ถึงจะทำการใหญ่ได้)
...การคิดที่สอง จึงเป็นการคิด เพื่อสร้างพวกพ้อง สร้างเพื่อน สร้างพันธมิตร สร้างบริวาร ...ใช่!! มันคือ หลักการคิดที่ผู้นำทั้งโลก คิดเหมือนกัน
นั่นก็คือ “คิดเผื่อ” การคิดเผื่อคนอื่น ก็คือ การคิดดี คิดเอื้อเฟ้อ ..ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่มี มีแต่ข้ออ้าง ...คนส่วนใหญ่มักจะอ้างว่า แค่ตัวกรูเอง กรูก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จะไปคิดเผื่อใครได้
จริงๆ การคิดแบบนั้น ก็คือ คิดแบบลูกน้อง คิดแบบลูกจ้าง เพราะ คิดแต่จะทำงานของตัวเองให้ดีเท่านั้น ..มันคิดใจแคบเกินไป จึงเป็นได้แค่ลูกน้อง เป็นแค่ลูกจ้างชั่วชีวิต ..ต่างจากผู้นำ เพราะ ผู้นำคือ คนที่คิดเผื่อคนอื่น ..ยิ่งถ้าเราคิดถึงผู้นำที่ไร้ตำแหน่ง The Leader with no Title ยิ่งเท่ห์เข้าไปอีก
คุณคิดดูนะ ผู้นำ ส่วนใหญ่ คิดเผื่อลูกน้อง คิดเผื่อองค์กร เพราะ เขามีหน้าที่ ถูกจ้างให้คิดแบบนั้น ..คนเหล่านี้เป็นได้อย่างมากก็แค่ผู้บริหารองค์กร ไม่สามารถเป็นนักธุรกิจใหญ่ หรือ เจ้าสัวได้ เพราะ เขาเป็น Leader with Title คือ เก่ง คิดเผื่อ แต่คิดตามหน้าที่เท่านั้น
ถูกต้อง !! ผู้นำ ที่แท้จริง ต้องคิดเกินหน้าที่ เช่น สมมุติคนเหล่านี้เข้าไปสมัครงานในบริษัทไหน เขาก็จะคิดเผื่อไปเลยว่า เขาจะช่วยให้องค์กรนี้และชีวิตทุกคนในนี้ดีขึ้นอย่างไร ..ไม่ใช่คิดแค่หน้าที่ของตัวเอง
แน่นอนว่าคนเหล่านี้ เมื่อคิดก็ต้องเจออุปสรรคเจอปัญหา ที่หนักกว่า เหนื่อยกว่าคนที่ก้มหน้าก้มตาทำแต่หน้าที่ตัวเองเท่านั้น ...ใช่!! มันถึงไม่มีใครอยากจะคิดเกินหน้าที่ของตัวเองยังไงล่ะ (คน 80% คิดแค่หน้าที่งานของตัวเองเท่านั้น แต่คนอีก 20% ที่เขาเป็นผู้นำ เขาคิดเผื่อคนอื่น ..แปลกนะ แต่นี่แหละ กำหนดชนชั้นของคนว่า จะเป็นผู้นำ หรือ ผู้ตาม ตั้งแต่เริ่มวิธีคิดเลยล่ะ)
แบบฝึกหัดง่ายๆ ว่าเราสามารถ “คิดเผื่อ” คนอื่น ก็คือ ลองมองไปรอบๆ ตัว ว่า คนที่เราคบ เป็นคนที่ทำงานเหมือนๆ เราใช่ไหม ถ้าใช่แปลว่า เราคิดอยู่แค่งานตัวเอง ..แต่ถ้ารอบๆ ตัวเราเป็นคนที่หลากหลาย นั่นแปลว่า เรายอมเปิดใจคุยและคบคนที่หลากหลาย
มีคำพูดนึงที่น่าคิด ซึ่งออกจะหลักธรรมะสักนิด แต่ผมว่ามันมีเหตุผล คือ “คนเราจะอยุ่ด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน หรือ เป็นคู่กัน ต้องมีศีลเสมอกัน” ..ตอนผมฟังประโยคนี้แรกๆ ก็ งง ว่า “ศีล” คืออะไร ..ใช่ที่เราไปรับ ศีล ในวัดรอพระสวดให้ ใช่หรือไม่
ไม่ใช่ครับ ..คำว่า “ศีล” เสมอกัน คือ เราคิดและทำเหมือนกัน มุมมองจริต ความคิดเหมือนๆ กัน นั่นแหละ ศีลเสมอกัน ..มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทนนั่งคุยกับคนที่ความคิดไม่เหมือนกัน เพราะ แทนที่จะคุย อาจจบด้วยการต่อยปากกันมากกว่า ..ฮ่า ฮ่า
ผมเคยยั่งคิดนะว่า “เพื่อน” ที่เราคบ มันคือ โชคชะตา ที่เราได้เผอิญมาอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน เวลาเด็กๆ ..แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็ได้คำตอบ ว่าจริงๆ แล้ว คนที่เราคบจริงๆ สุดท้ายมันคือ คนที่ “ศีลเสมอกัน” ..ไม่ใช่เพราะ คนส่วนใหญ่ชอบแบ่งชนชั้น แต่มันเป็นเรื่องของความชอบในสิ่งเดียวกัน คิดและทำในสิ่งใกล้ๆ กัน ..ทำให้สุดท้าย คนเราก็แยกไปในจุดที่ใช่สำหรับตัวเอง กลายเป็น การแบ่งชนชั้นในสังคมนั่นเอง
ซึ่งจริงๆ แล้ว การยกระดับ ชนชั้นของตัวเอง มันเริ่มที่ “ความคิด” เท่านั้นเอง (คนระดับล่างมักจะคุยกันเรื่องนินทาคนอื่น ดูละครน้ำเน่า / คนชั้นกลางจะคุยเรื่องสิ่งของที่จะซื้อ ที่เที่ยว ที่ใช้เงิน / คนระดับสูง จะคิดเรื่องการทำโครงการใหม่ๆ สร้างธุรกิจ ทำนุ่น ทำนี่)
...ลองสังเกตบางคนที่คบคนอายุมากกว่า แต่คุยกันถูกคอ ..แม้ว่า คนนั้น จะอายุน้อยกว่า และ มีเงินน้อยกว่า แต่ถ้าเขามีความคิดที่เหมือนกัน มันก็คือ “ศีลเสมอกัน” ..มันคล้ายๆ กับว่า ชายแก่ได้เจอตัวเองใน Version ที่หนุ่มกว่า ..และ คนหนุ่มได้เจอตัวเขาเองในอนาคตใน Version ที่แก่กว่า
สนุกครับ !! ..หลายคนไม่รู้ว่าจริงๆ โลกนี้ มันแฟร์มาก ..ทุกอย่างกำหนดโดย “ความคิด” ของตัวเราเอง ..บทเรียนต่างๆ ในโลก มันแฝงอยู่รอบๆตัว ขึ้นกับระดับ “ปัญญา” ของเราว่า สูงพอที่จะเรียนรู้บทเรียนนั้นๆ หรือเปล่า
จาก “คิดที่หนึ่ง คิดบวก” สร้างปัญญาของตัวเรา ...เดินทางมาสู่ “คิดที่สอง คิดเผื่อ” มันก็คือ คนมีปัญญา ที่ใช้มองตัวเอง คิดเผื่อให้คนอื่นได้ดี ก็จะเป็นการสร้างพวก สร้างบริวาร ...นี่แหละ ที่เป็นตัวแบ่งว่า คนเราจะมี “บริวาร” มากน้อยแค่ไหน
เพราะคนเก่งๆ มากมาย ที่เก่ง แต่อยู่ตัวคนเดียว เพราะ เขาคิดบวกอย่างเดียว แต่เขาไม่คิดเผื่อคนอื่น เลยไม่มีบารมี ..ก็เลยเก่งทำเงินได้พอตัว แต่ไม่รวยมากมาย
ใช่ครับ!! เงินทอง มันเป็นผลลัพธ์ให้กับ คนคิดดี ที่คิดเผื่อคนอื่น ให้เขามีความร่ำรวย ให้มีความสำเร็จ
เอาล่ะ ก่อนจะไป คิดต่อไป ..คิดสาม ..ลองสำรวจตัวเองอีกครั้งว่า “ความคิด” ของเราเดินทางมาสู่ระดับไหนแล้วครับ