ดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า…ใครได้ประโยชน์?
คอลัมน์ 10 เรื่องต้องรู้ สู่ความมั่งคั่ง โดย...นิษณากาญจน์ ภาษวัธน์ ธนาคารกสิกรไทย
1. ตั้งแต่จุดต่ำสุดในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ไทยบาทแตะระดับ 32.98 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ไทยบาทก็มีทิศทางแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 31.24 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2563) ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 5% ในเวลาราว 5 เดือน แต่หากพิจารณาทิศทางของดอลลาร์สหรัฐฯ กับสกุลเงินประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ อย่างยูโร เยน หรือ ปอนด์สเตอร์ลิงจะพบว่า ในเดือนกรกฎาคม ดัชนี Dollar Index อ่อนค่าลงแรงถึง 4% ซึ่งเป็นการอ่อนค่าในเดือนเดียวที่แรงสุดในรอบเกือบ 3 ปี
2. สาเหตุหลักของการอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐฯมี 4 ปัจจัยหลัก คือ 1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินของ FED ผ่านการลดดอกเบี้ย 2) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงของสหรัฐฯที่ติดลบ และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกับประเทศอื่นๆ ที่น่าดึงดูดใจน้อยลง 3) จำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด 19 ในสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และสูงที่สุดในโลก สะท้อนสถานการณ์ที่ยังคงเปราะบางต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และ 4) เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจนเข้าสู่ภาวะถดถอยในหลายๆ ประเทศ
3. ในเชิงเปรียบเทียบ แรงหนุนของดอลลาร์สหรัฐฯตลอด 10 ปีที่ผ่านมา คือ แนวโน้มดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเทียบกับประเทศอื่น ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เทียบกับประเทศอื่นๆ น่าดึงดูดใจ ส่งผลให้ความต้องการของดอลลาร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป โดยแนวโน้มดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนแรงลงชัดเจนตามทิศทางของดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว หากพิจารณาส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐฯ และเยอรมนีจะพบว่าส่วนต่างลดลงจาก 2.3% ในช่วงต้นปี มาอยู่ที่ 1.1% ในปัจจุบัน
4. แนวโน้มดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะอ่อนค่าลงต่อไปอีก จาก 4 ปัจจัยที่กล่าวข้างต้น นอกจากนี้ ผลจากโรคโควิด 19 ที่รัฐบาลสหรัฐฯต้องเร่งกระตุ้นผ่านนโยบายการคลังทำให้งบประมาณขาดดุลจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ มีมาตรการกระตุ้นที่สูงกว่า 13% ของ GDP ซึ่งหมายถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ และภาระในการลดระดับงบประมาณขาดดุลในอนาคต จึงเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
5. นอกจากนี้ หากนาย Joe Biden ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ก็อาจส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ตามนโยบายอย่างการขึ้นรายได้ขึ้นต่ำ และการขึ้นภาษีก็จะทำให้สหรัฐฯ ไม่น่าดึงดูดใจสำหรับเงินทุนต่างชาติอีกต่อไป
6. หากดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงต่อ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อกิจกรรมการค้าโลก เนื่องจากดอลลาร์ถูกใช้เป็นสกุลเงินหลักในการกำหนดราคาสินค้า ไม่ว่าสินค้านั้นๆ จะมาจากหรือถูกขายไปยังสหรัฐฯ หรือไม่ ดังนั้นการอ่อนค่าลงของดอลลาร์จึงหมายถึงราคาการนำเข้าของสินค้าที่ถูกลง อาจทำให้ปริมาณหรือความต้องการในการนำเข้าที่สูงขึ้นนั่นเอง จากการประเมินของ Goldman Sachs พบว่าการอ่อนค่าลง 10% ของดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดโลกสูงขึ้น 5% โดยประมาณ
7. นอกจากนี้ ลูกหนี้ทั้งภาครัฐฯ และภาคเอกชนในประเทศอื่นนอกจากสหรัฐฯ ที่ยืมเงินในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน เพราะหมายถึงภาระหนี้ที่ลดลง โดยเฉพาะประเทศในยุโรปตะวันออกกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกาที่มีหนี้ในสกุลเงินดอลลาร์สูงถึง 20-25% ของหนี้ทั้งหมด
8. ด้านสินทรัพย์ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากทิศทางดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า คือ ตลาดทุนเอเชีย ที่เราจะเห็นเงินทุนไหลเข้าอย่างมีนัยสำคัญทั้งตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น ทั้งนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียยังมีศักยภาพสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆจากทั้งการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง และการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่ดอกเบี้ยต่ำทั่วโลก การมองหาผลตอบแทนที่สูงผ่านการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นเอเชียจึงเป็นคำตอบสำหรับนักลงทุนหลายๆ ท่าน
9. อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเฉพาะไทยบาท โอกาสที่จะแข็งค่าต่อเนื่องเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อาจจะน้อยกว่าสกุลเงินเอเชียอื่นๆ เพราะ ปัจจุบันถือว่าไทยบาทค่อนข้างแข็งค่า เป็นผลมาจากสถานะทางการคลังที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลกว่า 6% ณ ข้อมูลล่าสุดเดือนมีนาคม 2563 สะท้อนว่าเงินจากต่างประเทศไหลเข้าไทย มากกว่าเงินไหลออก โดยหากพิจารณากับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ระดับ 33.16 และจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปีในช่วงปลายปี 2562 ที่ระดับ 29.97 อาจหมายถึง Upside ที่จำกัดหากไทยบาทจะแข็งค่าขึ้นไปอีก
10. โดยสรุป เรายังมองว่าแนวโน้มอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งบวกต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม โดยเฉพาะตลาดทุนเอเชีย อย่าไงรก็ดี ทุกอย่างก็ควรมีความสมดุลอยู่ เพราะหากดอลลาร์อ่อนค่ามากเกินไปก็จะกระทบเศรษฐกิจหลายๆ ประเทศในเอเชีย รวมถึงไทยที่ยังคงพึ่งพาการส่งออกสูงอยู่