
“ราคาทองคำ” มีโอกาสไปได้ไกลแค่ไหน ? ลงทุนอย่างไร
ท่ามกลางความตึงเครียดทางภมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บภาษีนำเข้า นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่ลดลง 3% MoM หลังจากก่อนหน้านี้แตะระดับสงูสดุในรอบสองปีเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำ
ก่อนหน้านี้เราได้ตั้งเป้าหมายราคาทองคำปี 2568 ไว้ที่ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่จากพัฒนาการล่าสุดของตลาด เราคาดว่าราคาทองคำมีโอกาสแตะระดับเป้าหมายเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำเป็น 3,250 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากการซื้อทองคำของธนาคารกลาง และความต้องการเพื่อการลงทุน
World Gold Council รายงานว่า ความต้องการทองคำในปี 2567 ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอุปสงค์รวม (รวมตลาด OTC) เพิ่มขึ้น 1% YoY แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,974 ตัน ปัจจัยหนุนมาจากการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการซื้อทองคำของธนาคารกลางมากกว่า 1,000 ตัน ติดต่อกันเป็นปีที่สาม
และที่น่าสนใจ คือ การซื้อทองคำของธนาคารกลางเร่งตัวขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4 ปี 2567 โดยแตะ 333 ตัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังปรับโครงสร้างทุนสำรอง โดยลดการพึ่งพาสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับปี 2568 เราคาดว่าธนาคารกลางจะยังคงซื้อทองคำในระดับมากกว่า 1,000 ตัน เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน หนุนจากปัจจยัทางภูมิรฐัศาสตร์ เนื่องจากการที่โลกมีความขัดแย้งแบ่งขั้วกันมากขึ้น จากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ทำให้ความเสี่ยงด้านการค้าและความขัดแย้งทางทหารสูงขึ้น ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนของแนวโน้มนี้ คือ ธนาคารกลางจีนกลับมาซื้อทองคำเป็นเวลาสามเดือนติดต่อกัน หลังจากหยุดซื้อไป 6 เดือน แม้ว่าราคาทองคำจะทำสถิติสูงสุดใหม่ก็ตาม ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีนในการลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ความต้องการลงทุนในทองคำ โดยเฉพาะผ่านกองทุน ETF เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำหลังจากที่การลงทุนในทองคำ ผ่าน ETF แย่ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ปี และ เริ่มเห็นสัญญาณการฟนตัวในปี 2567 โดยปริมาณถือครองทองคำของ ETF เริ่มทรงตัวได้และการฟื้นตัวแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในปี 2568 จนถึงปัจจุบัน โดยการถือครองทองคำของ ETF ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2% ตั้งแต่ต้นปี นอกจากนี้แนวโน้มการลงทุนที่แข็งแกร่งนี้ยังเห็นสัญญาณได้จากข้อมูลการส่งออกทองคำของสวิตเซอร์แลนด์ไปยังสหรัฐ ฯ ซึ่งแตะ 193 ตัน ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นปริมาณการส่งออกทองคำรายเดือนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลในเดือน ม.ค.2555
ที่น่าสังเกต คือ การส่งออกทองคำของสวิตเซอร์แลนด์ไปยังสหรัฐฯ ในเดือนเดียวนี้ มีมูลค่ามากกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์สหรฐั และมากกว่าการส่งออกทองคำของสวิตเซอร์แลนด์ไปยังสหรัฐฯ ตลอดทั้งปี 2567 ปริมาณการส่งออกทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากสวติเซอร์แลนด์นี้
สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีใหม่ของสหรัฐฯซึ่งยิ่งทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้การถือครองทองคำของ ETF ทั่วโลก จึงแตะระดับสงูสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.2567
นอกเหนือจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และการกระจายทุนสำรองแล้ว แนวโน้มของนโยบายการเงิน ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนราคาทองคำ โดยโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจที่เพิ่งประกาศออกมาหลายตัว
สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้น เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย.2566 ซึ่งสะท้อนให้เห็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเงินเฟ้อ โดยเฉพาะจากการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์
นอกจากนี้ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐฯ โดย S&P Global ยังลดลงแตะ 49.7 ในเดือน ก.พ. ซึ่งเป็นการเข้าสู่โซนหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับทองคำมากขึ้น เนื่องจากทองคำที่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยทำให้เป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในสภาวะดอกเบี้ยต่ำ