ค้าปลีกฯ เสนอปรับเกณฑ์ภาษีบุคคลปี65 เป็น 2.501 แสนบาท/คน/ปี สร้างเงินหมุนเวียนในระบบ
สมาคมค้าปลีกฯ ทำหนังสือถึงนายกฯ ต่อลมหายใจเอสเอ็มอีกว่า 2แสนราย และช่วยคนตกงานกว่า 1.5 ล้านราย ผ่าน 4 มาตรการ
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังอยู่ในภาวะวิกฤตทำให้รัฐบาลต้องยกระดับมาตรการป้องกันในพื้นที่ควบคุมสูงสุดสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้ทำหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์จันทร์โอชา เรื่องขอเสนอมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อให้ความช่วยเหลือกับ SME ในภาคค้าปลีกและบริการอย่างเร่งด่วน
โดยในขณะนี้ มี SME ในระบบกว่า 200,000 ราย ที่กำลังจะต้องปิดตัวลง และมีลูกจ้าง 1,000,000 - 1,500,000 ราย ที่จะต้องขาดรายได้และไม่มีงานทำทั้งยังส่งผลกระทบกับสถาบันการเงินอย่างหนัก เพราะจะก่อให้เกิดหนี้เสียหลายแสนล้านบาท
ด้วยการแพร่ระบาดในครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ ในขณะที่การฉีดและกระจายวัคซีนยังไม่เป็นไปตามเป้ายิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลควรเร่งเยียวยากลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน โดยสมาคมฯ ขอนำเสนอ 4 มาตรการ ดังนี้
1. มาตรการสาธารณสุข
1.1 เร่งจัดหาและกระจายวัคซีนให้ทั่วถึง โดยใช้พื้นที่จุดฉีดวัคซีนที่ภาคค้าปลีกและบริการได้เตรียมไว้ทั้งหมด 93 จุด แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร 25 จุดและในต่างจังหวัดอีก 68 จุด ทั่วประเทศให้เป็นประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเพิ่มบริการตรวจ Rapid Antigen Test ให้กับประชาชน
1.2 จัดสรรวัคซีนให้กับบุคลากรในภาคค้าปลีกและบริการ โดยเฉพาะศูนย์กระจายสินค้าของกลุ่มการค้าปลีกและบริการ เพื่อรองรับความต้องการของประชาชนและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขาดแคลนสินค้า
2. มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ SME และประชาชน
2.1 เร่งสถาบันการเงินอนุมัติเงินกู้ Soft Loan ให้ SME เร็วขึ้นเพราะในช่วง 30 วันที่ผ่านมา มี SME ที่ได้รับอนุมัติเงินกู้เพียง 10%ของจำนวนที่ยื่นขอสินเชื่อไปแล้วกว่า 3 หมื่นราย
2.2 สำหรับ SME ที่เป็นลูกหนี้กับสถาบันการเงินในปัจจุบัน ขอให้พักชำระหนี้และหยุดคิดดอกเบี้ยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
2.3 ช่วยลดค่าใช้จ่าย ลดค่าน้ำ ค่าไฟ เพิ่มเป็น 50%เป็นระยะเวลา 6 เดือน
2.4 ในกรณีที่ผู้ประกอบการมีการจ้างงานเพิ่ม ขอผ่อนผันให้เป็นการจ้างงานแบบรายชั่วโมงเป็นการชั่วคราว เพื่อแบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบการ และลดอัตราการว่างงาน
2.5 เพื่อเป็นการเพิ่มให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ขอให้ปรับเพิ่มรายได้พึงประเมินบุคคลธรรมดาขั้นต่ำที่จะเสียภาษี จาก 150,001 บาท เป็น 250,001 บาท ในปี 2564-2565
2.6 ผ่อนผันให้ร้านอาหารในศูนย์การค้าสามารถให้บริการDelivery ได้ เพื่อช่วยเหลือ SME ให้สามารถพยุงธุรกิจได้และลูกจ้างยังมีงานทำต่อไป3. มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ3.1 นำโครงการ “ช้อปดีมีคืน” กลับมาอีกครั้ง โดยเพิ่มวงเงินเป็น100,000 บาท เพื่อกระตุ้นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง
3.2 ขอให้ภาคเอกชนไทยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐบาลและ BOI เช่นเดียวกับการที่ นักลงทุนต่างชาติได้รับ เนื่องจากภาคเอกชนที่มีธุรกิจขนาดใหญ่ยังมีความแข็งแรง สามารถลงทุนเพิ่ม แต่อาจขาดความมั่นใจและแรงกระตุ้นพร้อมยังช่วยทำให้เกิดการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง
4. มาตรการรองรับเศรษฐกิจใหม่ (New Economy)
4.1 กำหนดนโยบายและกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อควบคุมบางธุรกิจห้ามนักลงทุนต่างชาติ ทำโดยเด็ดขาด และบางธุรกิจสามารถทำได้ แต่มีเงื่อนไข เพื่อปกป้องอาชีพและธุรกิจของคนไทย โดยไม่ทำลายอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยในที่สุด
4.2 ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม จัดเก็บภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่บาทแรก และห้ามขายต่ำกว่าราคาต้นทุน
4.3 เร่งผลักดันการทำ Digitalization ของหน่วยงานภาครัฐสำหรับใบอนุญาตต่างๆ ให้เป็นแบบ E-Form, E-License, E-TAX และ E-Invoiceและลดขั้นตอนการออกใบอนุญาตเหลือเพียง 1 ใบ (Super License)จากเดิมที่ผู้ประกอบการค้าปลีกหรือค้าส่งต้องขอใบอนุญาตต่างๆ กว่า 43 ใบ
4.4 ปรับรูปแบบการบริการของหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการแก่ประชาชน เป็นแบบ Cashless Payment (การทำธุรกรรมทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์) เพื่อช่วยลดกระดาษ ลดเอกสาร ลดขั้นตอน ลดเวลาและสามารถตรวจสอบเอกสารย้อนหลังได้จากระบบ
“ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสงครามเชื้อโรคที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราอยู่ในช่วงวิกฤตซ้อนวิกฤตที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อก้าวข้ามความท้าทายนี้ไปให้ได้ โดยสมาคมฯ พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับรัฐบาลในการผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยและขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้อีกครั้ง” นายญนน์ กล่าวปิดท้าย