มอง P2P Lending แบบแชร์ดิจิทัล (มองแบบบ้านๆ)
การปล่อยกู้ยืมเงินแบบ P2P เป็นนวัตกรรมการเงินยุคดิจิทัล ซึ่งไม่ต่างกับการเล่นแชร์ในอดีต ซึ่งแม้ว่ามีผลดีลดต้นทุนการเงิน แต่ก็มีความเสี่ยงซึ่งผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณาให้รอบคอบ
การปล่อยกู้ยืมเงินแบบ P2P เป็นนวัตกรรมการเงินยุคดิจิทัล ซึ่งไม่ต่างกับการเล่นแชร์ในอดีต ซึ่งแม้ว่ามีผลดีลดต้นทุนการเงิน แต่ก็มีความเสี่ยงซึ่งผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณาให้รอบคอบ
************************
คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) ตอนที่ 10/2562 โดย...สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ้ เครดิตบูโร
เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่ผู้เขียนได้เห็นความตื่นตัวในบรรดาผู้เล่นในระบบสถาบันการเงิน ซึ่งรวมไปถึงบรรดาผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินที่อาศัยเทคโนโลยีเป็นตัวนำหรือที่เรียกง่ายๆ ว่ากลุ่มฟินเทค หรือพวก platform ที่กำลังจะเกิดขึ้น ข่าวออกมาดังนี้ครับ
... ผู้บริหารระดับสูงของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการฟินเทคประมาณ 10 บริษัท สนใจทำธุรกิจระบบ หรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคล (P2P lending platform) หลังจากที่ ธปท.ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจดังกล่าว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 30 เม.ย. 2562 ...
เงื่อนไขสำคัญก็คือการเตรียมความพร้อมของบรรดาผู้สมัครที่คิดจะยื่นขอใบอนุญาต ที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการทดสอบตัวอย่างเช่น
1. ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทั้งแบบเห็นหน้าและแบบที่ไม่ได้มาพบหน้ากันโดยตรงมีความน่าเชื่อถือขนาดไหน
2. ระบบการวิเคราะห์ตัวผู้ขอกู้ว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ มีความตั้งใจในการชำระหนี้ การประเมินมูลค่าหลักประกัน (ถ้ามี)
3. ระบบการบริหารลูกหนี้และระบบการติดตามลูกหนี้ตลอดช่วงสัญญาเงินกู้
4. ระบบการรับชำระและติดตามทวงถามหนี้ตลอดช่วงสัญญาเงินกู้
มองในมุมสถาบันการเงินในปัจจุบันที่มีความพร้อมที่จะลุยในธุรกิจนี้ก็ระบุว่า ธนาคารสนใจจะทำธุรกิจ P2P lending platform ในระยะข้างหน้า เพราะจะช่วยลดต้นทุนการระดมเงิน จากปัจจุบันที่ต้องระดมเงินฝากมาปล่อยกู้ แต่หากทำ P2P lending platform จะเป็นการนำเงินคนอื่นที่อยากให้กู้มาปล่อยกู้โดยมีธนาคาร เป็นแพลตฟอร์มตัวกลาง เนื่องจาก ธนาคารมีระบบเก็บเงินรายเดือน ระบบบังคับจำนอง ส่วนการวิเคราะห์สินเชื่อก็ปกติ ธนาคารวิเคราะห์ให้ แล้วก็ประเมินหลักประกัน รับชำระหนี้เงินกู้ และติดตามหนี้ให้ ซึ่งป้องกันปัญหาเรื่องการเรียกเก็บเงินและกรณีผิดนัดชำระหนี้ได้อยู่แล้ว
หากจะเปรียบเทียบเรื่อง P2P ที่เป็นนวัตกรรมทางการเงินในยุคดิจิทัลกับแชร์หรือการเล่นแชร์ในอดีตก็น่าจะอธิบายได้ไม่ยาก ท่านผู้อ่านลองคิดตามดังนี้
1. ตัวของคนกลางที่จับคนอยากได้เงินกู้กับคนที่อยากให้กู้มาเจอกันก็คือ Platform ในวันนี้หรือเท้าเเชร์ในอดีตคือทั้งคู่ต้องมีความน่าเชื่อถือ เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนพอสมควรระดับออกปากแล้วยากจะปฏิเสธได้
2. อัตราดอกเบี้ยคือตัวตัดสินใจระหว่างคนกู้กับคนให้กู้ คนกลางคือ Deal maker ในอดีตจะเปียแชร์หรือประมูลดอกเบี้ยกันเท่าไหร่อาจต้องปรึกษากับเท้าแชร์นิดหน่อย
3. เท้าแชร์ได้ประโยชน์เป็นค่าธรรมเนียมในการ matching ซึ่งก็เหมือนกับ P2P lending ที่บริหารโดย platform และยังมีหน้าที่ไปตามเก็บเงินจากวงแชร์ไปส่งมอบให้กับคนที่เปียร์ได้ และส่งดอกเบี้ยให้กับคนที่นำเงินมาให้กู้
4. ถ้ามีรายการเบี้ยวหนี้ เกิดหนีการจ่าย หรือลูกแชร์เป็นหนี้เสีย ผิดนัดชำระหนี้ เท้าแชร์ก็อาจสอดรับเข้ามาชำระหนี้แทนแล้วไปตามไล่เบี้ยเอากับคนที่เบี้ยวหนี้ ในระบบ P2P ก็อาจไปหาสถาบันมาค้ำประกันทั้งหมดหรือบางส่วนในหนี้ก้อนนี้ที่กำลังทำ matching
สิ่งที่จะต่างกันบ้างเล็กน้อยคือคนที่เป็นเท้าแชร์จะรู้จักตัวตนของลูกแชร์ตัวเองอย่างลึกซึ้ง ต่อเนื่อง ยาวนาน มันมีความหมายมากกว่าการทำ KYC.เพื่อให้บริการทางการเงิน อีกประการหนึ่งคือเทคโนโลยีและเครืองมือครับ เครื่องมือของแชร์อาจแค่ กรุ๊ปไลน์ไว้สื่อสาร พร้อมเพย์ไว้โอนเงิน และเลี้ยงโต๊ะจีนวันนัดเปียร์แชร์ที่เท้าแชร์ต้องเป็นเจ้าภาพ
ถ้าเราตัดเอาเรื่องเครื่องมือทันสมัย กฎระเบียบที่เพิ่งออกมา และเรื่องที่เกิดในต่างประเทศ แล้วหันมามองนวัตกรรมในอดีตแบบบ้านๆ ที่แก้ไขปัญหาสภาพคล่องของ SME มาเป็นระยะยาวนาน ก็จะพบว่าเราๆท่านๆ ที่ทำมาค้าขาย ก็คงจะคิดตามได้ไม่ยากถึงความเหมือนความต่างของสิ่งที่เกิดในอดีตกับสิ่งที่กำลังจะเกิดในตลาดบ้านเรา ประเด็นที่ผู้เขียนอยากให้สนใจคือ
1. ประสบการณ์ในเรื่องนี้ทั้งบวกและลบที่เกิดในประเทศจีน ถ้ามันมาเกิดกับประเทศเราบ้าง ใครจะเป็นคนเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา เพราะมันเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ มันไม่เข้าใครออกใครเสียด้วยสิครับ
2. ในบรรยากาศที่ดอกเบี้ยต่ำ มีพฤติกรรม search for yield ที่เราๆ ท่านๆ ไม่อยากให้เกิด แต่เมื่อมีสิ่งนี้ขึ้นมาแล้ว มันจะไปมีส่วนส่งเสริมพฤติกรรมที่เราไม่ค่อยอยากให้เกิดหรือไม่ ดอกเบี้ยที่คิดไว้สูงสุด 15% มันจะแพงสำหรับโครงการดี แต่มันจะถูกมากสำหรับโครงการแย่ๆ แต่แปลงกายมา บาปเคราะห์ตรงนี้ถ้าเกิดจะมีผลกระทบขนาดไหน หรือเป็นราคาซื้อประสบการณ์ของนักลงทุน ตามแนวคิด การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจ
ขอขอบคุณท่านที่ให้ความสนใจทุกท่านครับ