'กัณวีร์' เสนอเปิดประตู มนุษยธรรม รับเหตุรบชายแดนไทย-เมียนมา
'กัณวีร์' ห่วงสถานการณ์สู้รบในรัฐคะเรนนี-เมียนมา ส่งผลให้มีผู้ลี้ภัยมายังชายแดนไทย ทะลุ 8,802 คน ย้ำต้องเปิดประตูมนุษยธรรม Humanitarian Corridor เป็นนโยบายเร่งด่วน ยอมรับไทยสร้างค่ายอพยพใหม่ไม่ได้แล้ว
นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์การสู้รบชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน จ.แม่ฮ่องสอน ส่งผลให้มีผู้หนีภัยการสู้รบมายังชายแดนประเทศไทย จำนวน 8,802 คนแล้ว ดังนั้นประเทศไทยต้องประเมินสถานการณ์ให้ดี เพราะการสู้รบภายในประเทศเมียนมา ส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นในประเทศหลายแสนคน
ล่าสุดจากสถานการณ์ในรัฐคะเรนนี มีการทิ้งระเบิดและมีการปะทะ ติดกับชายแดนไทย ฝั่ง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ติดพื้นที่พักพิง บ้านใหม่ในสอย การทิ้งระเบิดตรงนั้น ทำให้มีผู้อพยพมาเพิ่ม และแนวโน้มสถานการณ์จะยืดเยื้อ ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือและต้องมี นโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะการเปิดประตูมนุษยธรรม Humanitarian Corridor ให้เป็นนโยบายเร่งด่วน
ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปิดประตูมนุษธรรม Humanitarian Corridor เป็นนโยบายเร่งด่วน ไทยมีชายแดนติดกับเมียนมายาวมาก และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ รัฐบาลใหม่ต้องมองความสัมพันธ์ไทย-เมียนมา ไม่ใช่แค่ในระดับทิวภาคี แต่ต้องมองในระดับภูมิภาค และเวทีโลก ถ้าไทยไม่มีบทบาทช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และแก้ปัญหาที่รากเหง้า ไทยจะถูกมองว่าไม่มีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล ดังนั้นรัฐบาลใหม่ต้องมองหาการแก้ปัญหาแบบยั่งยืนให้ได้ในเมียนมา
นายกัณวีร์ ระบุว่า ประเทศไทยต้องช่วงชิงความเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาเมียนมา เรื่องนี้ไม่ได้ต้องการจะแข่งกับใคร แต่ต้องยอมรับว่าเมียนมาเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีใครสามารถจัดการแก้ปัญหาแบบเป็นระบบได้ ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกับเมียนมา มีภูมิรัฐศาสตร์ ที่จำเป็นต้องเป็นผู้นำแก้ปัญหาเมียนมา จะอาศัยอาเซียนอย่างเดียว
ประเทศไทยสามารถใช้ภูมิรัฐศษสตร์ ที่มีชายแดนยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร พูดคุยกับเมียนมาได้ แม้จะเป็นรัฐบาลทหาร แต่จำเป็นต้องพูดคุย ไม่ใช่แค่ทหารเมียนมา เท่านั้น แต่ประเทศไทยต้องคุยกับทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ทำงานด้านมนุษยธรรม และภาคประชาสังคมที่มีอยู่ ประเทศไทยต้องใช้บทบาทนี้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะไม่เป็นการแทรกแซง แต่เป็นการสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยในเมียนมาให้ได้
นายกัณวีร์ เปิดเผยว่า ตนเองได้มีโอกาสไปพบภาคประชาสังคม ใน อ.แม่สอด จ.ตาก ทราบว่าพื้นที่ชั้นในเป็นพื้นที่สงครามระหว่างรัฐบาลทหารเมียนมา และกองกำลังติดอาวุธ ไปแล้ว ดังนั้นสถานการณ์จะผันผวนตลอดเวลา ผู้พลัดถิ่นในเมียนมานับแสนคน พร้อมจะอพยพมาเป็นผู้ลี้ภัยในไทย
ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อม แตพื้นที่ปลอดภัยปัจจุบันไม่เพียงพอ จะใช้แค่ศักยภาพ และบริบทในพื้นที่ดูแลตามยถากรรมไม่ได้ และการให้อยู่ชั่วคราวแล้วส่งกลับ เพราะบริเวณชายแดนมีการใช้กฏอัยการศึกและความมั่นคงดูแล ไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องมนุษยธรรม
ประเทศไทยสามารถจับมือในภูมิภาค อาเซียน มั่นใจว่าเขาจะสามารถสนับสนุนประเทศไทยได้แน่นอน เนื่องจากที่ผ่านมาอาเซียนใช้ฉันทามติ 5 ข้อ เพื่อไม่ให้ลิดรอนสิทธิกับเมียนมา แต่ประเทศไทยต้องมองปัญหาเฉพาะหน้าด้วย ต้องมองปัญหามนุษยธรรม จึงจะสามารถนำความร่วมมือมาผลักดัน สถานการณ์และผลกระทบในเมียนมาได้
ส่วนการจัดการพื้นที่ปลอดภัยที่มีอยู่ 5 แห่งแล้ว บริเวณชายแดน จ.แม่ฮ่องสอน นายกัณวีร์ เห็นว่าเมื่อสถานการณ์มีแนวโน้มที่ยืดเยื้อ และมีการอพยพมาต่อเนื่อง ระบบปัจจุบันจะไม่สามารถรองรับจำนวนคนที่มากขึ้นได้แน่นอน การแก้ปัญหาในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องวางแผนตั้งแต่การเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมไปถึงการพัฒนาไปด้วยจะมองแค่งานมนุษยธรรมอย่างเดียวไม่พอ ทั้งที่พักพิง อาหาร คงไม่พอ ต้องวางแผนด้วยว่าทำอย่างไรให้กลุ่มคนเหล่านี้อยู่ได้โดยไม่พึ่งพิงคนอื่นมากนัก
ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อ จะทำอย่างไรให้อยู่ได้ สามารถดึงองค์กรระหว่างประเทศมาได้ เราจะไม่สร้างค่ายผู้อพยพใหม่ เพราะการสร้างค่ายใหม่จะเกิดปัญหาเรื้อรัง อย่างที่มีมา 43 ปีที่ผ่านมา 91,000 คนยังอยู่ในค่ายผู้อพยพ ถ้าสร้างค่ายใหม่เกิดปัญหาเรื้อรังแน่นอน
รัฐบาลใหม่ต้องมองการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการส่งกลับแบบสมัครใจ และการตั้งถิ่นฐานใหม่ ต้องมีช่องออกแต่ต้น ไม่ใช่รับมาแล้วส่งกลับ ต้องวางแผนต่อไปว่าถ้าแนวโน้มไม่ดี จะส่งตั้งถิ่นฐานใหม่ได้ไหม ให้กระทรวงแรงงานไปดูแลไหม ต้องครอบคลุมทั้งหมด ในงานด้านมนุษยธรรม เพื่อให้เขายืนด้วยขาตัวเองได้ในที่สุดด้วย
สำหรับการสู้รบในรัฐคะเรนนีที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.2566 ถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 1 เดือนแล้ว มีผู้หนีภัยการสู้รบจากรัฐคะเรนนี หรือรัฐคะยา ประเทศเมียนมา อพยพมายังชายแดนไทย ซึ่งมีการเปิดพื้นที่ปลอดภัย 4 แห่งบริเวณชายแดน อ.แม่สะเรียง อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ให้ผู้หนีภัยการสู้รบ รวม 5,133 คน
และล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ก.ค.2566 กองทัพเมียนมาทิ้งระเบิดในพื้นที่ค่ายผู้อพยพในรัฐคะเรนนี ตรงข้ามบ้านปางหมู ต.หมอกจำแป่ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ส่งผลให้มีผู้หนีภัยการสู้รบมายัง บ้านในสอย ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เพิ่มอีก 3,331 คน จึงเปิดพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวอีก 1 แห่ง รวม 5 แห่ง มีผู้หนีภัยจากรัฐคะเรนนี 8,802 คน