posttoday

รองเท้าฟางอีกข้าง...

06 เมษายน 2557

แฟนคอลัมน์ที่เหนียวแน่นท่านหนึ่งซึ่งกำลังเรียนภาษาเกาหลีด้วยตัวเอง ได้ส่งเมสเซจมาหาบ่อยๆ

แฟนคอลัมน์ที่เหนียวแน่นท่านหนึ่งซึ่งกำลังเรียนภาษาเกาหลีด้วยตัวเอง ได้ส่งเมสเซจมาหาบ่อยๆ จนเกือบจะเป็นพี่น้องกันไปแล้ว บางครั้งเธอมีข้อสงสัยในประโยคที่แชตกับเพื่อนเกาหลี จึงส่งข้อความมาให้ดู พร้อมทั้งถามว่า คนที่แชตด้วยนั้น “เป็นคนเกาหลีจริงหรือเปล่าคะ” อย่ากระนั้นเลย ในโลกดิจิทัลซึ่งมีการสร้างภาพลวงตาได้ง่าย จึงจำเป็นต้องพิสูจน์ความจริงกันหน่อย

วิธีพิสูจน์ความจริงคงมิสามารถลำดับแผนได้หลากหลายเหมือน “แม่นางแดจังกึม” ที่รอดตัวทุกทีไป (ได้ข่าวเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ภาคสอง มาแน่) จึงเลือกวิธีการง่ายๆ ด้วยการทดสอบภาษาเกาหลีที่คนต่างชาติทั่วไปรู้ได้ยาก นั่นคือ “สำนวนและสุภาษิตเกาหลี” ที่เรียกว่า “ซ๊กตำ ” ...ภาษาเกาหลีหลายคำฟังแล้วน่ารักดีเหมือนกันนะ สังเกตได้ว่าภาษาเกาหลีไม่มีสระอำ แต่ต้องใช้เสียงสระอา ตามด้วย ม. ม้า กลายเป็น “ตาม” แล้วกร่อนคำเป็น “ตำ” เพราะเวลาพูดเสียงจะสั้นๆ... หากไม่เก่งขั้นเทพแล้วไซร้ เจอ “ซ๊กตำ” แล้วจะหนาว ในบ้านเมืองเราก็มีคนไทยเก่งขั้นเทพอยู่หลายคน แต่ท่านๆ เหล่านั้น คงบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ ขนาดตามจิกเอาต้นฉบับแปลนิยายมาหลายเดือนแล้วก็ยังมิได้เห็น (ขณะนี้ “เชกา” เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้านักแปลเกาหลีสังกัด หลานศิษย์พระเจ้าเซจงไปซะแล้ว หากท่านใดต้องการใช้บริการ เชิญค่ะ)

คำที่ระลึกถึงได้ทันที เพราะเป็นสำนวนแรกที่เพื่อนรักประสิทธิ์ประสาทให้ คือ “คูดูซเว ” เวลาออกเสียง “ซเว” ให้ตั้งใจพูดคำว่า เซ แต่เอาลิ้นออกมาที่ระหว่างฟันบนล่าง แล้วดึงกลับเข้าไป... คือ เซ ควบกล้ำด้วย ว. แหวน... ฝึกไปเรื่อยๆ มิช้านานก็จะออกเสียงได้ค่ะ ... “ซเว” ตามศัพท์ แปลว่า เหล็ก ส่วนคูดู คือ รองเท้า ในที่นี้ คือ รองเท้าคัตชู ... เรื่องมีอยู่ว่า รองเท้าโดยปกติจะใช้ส้นยางกันเป็นที่แพร่หลาย แต่ยางจะสึกง่ายกว่า จึงมีประชาชน (ในที่นี้ ขอเหมาว่าเป็น “นาย” มิใช่ “นางหรือนางสาว”) ผู้นึกเสียดายส้นรองเท้าที่สึกไปทุกๆ วัน จึงได้สั่งช่างทำส้นรองเท้าด้วยแผ่นเหล็กเสียเลย จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนส้นรองเท้าปีละครั้งสองครั้งด้วยความประหยัดมัธยัสถ์อย่างนี้ เวลาต่อมาชาวบ้านจึงเรียกลักษณะของคนที่ขี้เหนียวไม่ยอมจ่ายเงินทองเพียงเล็กน้อยให้คนอื่นๆ ได้ทำอาชีพบ้าง ว่า “คูดูซเว” ... ในยุคสมัยนี้ จะมาว่าเราเป็น คูดูซเว ก็ไม่สะเทือนใจค่ะ อยากใส่แผ่นเหล็กรองสองชั้นซะเลย เพราะข้าวของแพงขึ้นไปจนใส่รองเท้าส้นยางวิ่งตามไม่ไหวแล้ว...

รองเท้าฟางอีกข้าง...

 

หลังจากส่งคำนี้ไป ปรากฏว่านายคนนั้นมิได้ตอบบทสนทนากลับมาอีกเลย มิรู้ว่าเป็นเพราะเขาโกรธที่ไปว่าเขา หรือเป็นเพราะนายคนนั้นแปลไม่ออกว่าหมายถึงอะไร แต่ขอสันนิษฐานเข้าข้างตัวเองว่าเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า เนื่องจากน้องสาวเจ้าของกรณีนั้น ฟันธงว่าเกาหลีปลอมชัวร์ เนื่องจากมีวาทกรรมที่แปลกประหลาดมาตลอดทาง (ขอบคุณน้องที่ปลอบใจ...) เพิ่งเจอคนไทยมาแกล้งอำเป็นคนเกาหลีก็คราวนี้ล่ะคะ...

พูดถึงสำนวนที่เกี่ยวกับรองเท้าในภาษาเกาหลีนั้นมีมากมายจริงๆ เพราะรองเท้าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องนุ่งห่มที่สำคัญมาก อย่าลืมว่า เกาหลีหนาวแบบติดลบและหนาวยาวนาน หากเดินไม่ใส่รองเท้าแบบไทยเราตั้งแต่โบราณกาล น้ำแข็งคงกัดนิ้วเท้ากุดไปหมดจนเกือบจะ Mutate เกิดมาโดยไม่มีนิ้วเท้าเลยก็ได้ มีสำนวนหนึ่งที่เกาหลีชอบเอามาปลอบใจคนที่อยากจะออกเรือนแต่ยังคงรับประทานแห้วอยู่ คือ “ ฉิบซินโด้ จ๊ากกี้ อิดตะ” ... “ฉิบซิน” คือ รองเท้าฟางแบบที่ชาวนาเกาหลีสมัยก่อนใส่ โดยเอาฟางแห้งมาถักทำรองเท้า ซึ่งใครๆ ก็ถักเอาไว้ใช้เองไม่มีราคาอะไร สำนวนนี้ หมายความว่า “แม้แต่รองเท้าฟางที่แสนต่ำต้อย (ขี้เหร่และไม่มีค่าอะไรเลย) แต่มันก็ยังต้องมีอีกข้างมาอยู่ใช้คู่กัน จึงเป็นธรรมดาที่คนเราต้องมีคู่รออยู่” คือ ถ้ายังหาไม่ได้ก็ให้รอต่อไป... ทว่า สำหรับบางคนรองเท้าฟางอีกข้างของเขามาแล้ว แต่เกิดมองเห็นความจริงว่า แม้มีรองเท้าฟางอีกข้างก็ยังเดินบนความทุกข์เหมือนเดิม อย่ากระนั้นเลย ให้คนอื่นเอาไปเถอะ จึงยอมใส่รองเท้าฟางข้างเดียวต่อไปแม้จะต้องเจ็บเท้ายามเดินบ้าง หรือไม่ก็ตัดสินใจไม่ออกจากบ้านไปไหน คือ ตัดทางโลกเข้าไปอยู่ในร่มเงาของพุทธศาสนาเสียเลย...