ฟุตบอลอังกฤษ กับความฝัน
ในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ชาติที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นชาติผู้ให้กำเนิดกีฬาฟุตบอล...
โดย... สุรเดช สันติเลิศประภพ
ในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ชาติที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นชาติผู้ให้กำเนิดกีฬาฟุตบอลอย่างเป็นทางการนั้นระบุว่า พวกเขาสามารถคว้าแชมป์โลกมาครองได้ 1 สมัยและมันเกิดขึ้นในปี 1966 หรือกว่า 48 ปีมาแล้วเลยทีเดียว และความหวังที่แฟนๆของทีม “สิงโตคำราม” จะได้เห็นทีมรักทีมเชียร์ของตัวเองกลับไปอยู่ในจุดสูงสุดของเกมแห่งความสวยงามอีกครั้งนั้น ตอนนี้มันคงเป็นได้แค่ความฝันไปก่อน
ภาพของ บ็อบบี้ มัวร์ กับถ้วยจูลส์ ริเมต์ และถูกแบกขึ้นบ่าของเพื่อนๆทีมชุดคว้าแชมป์โลกในปี 1966 ยังคงเป็นภาพที่คลาสสิคสำหรับแฟนฟุตบอลทั่วโลกขณะเดียวกันถ้ามองถึงความเป็นจริงในเวลานี้กับมาตรฐานฟุตบอลของพวกเขา มันก็คงเป็นภาพที่ใช้เวลานานเหลือเกินที่เราจะได้เห็นพวกเขาได้สัมผัสกับฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่อีกสักครั้ง
แต่ไหนแต่ไรมา นักเตะของอังกฤษ มักจะเป็นที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลกเพราะความใกล้ชิดผูกพันในการดูฟุตบอลลีกสูงสุดของพวกเขาที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของโลกนั่นเอง นั่นทำให้ในฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆทุกรายการเราจึงจะเห็นกระแสของการลุ้นให้ อังกฤษ คว้าแชมป์เกิดขึ้นทุกครั้ง
นับจากปี 1966 อังกฤษ เคยทำได้ดีที่สุดกับฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายคือการเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศในปี 1990 ภายใต้การคุมทีมของอดีตยอดผู้จัดการทีมอย่าง เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ผู้ล่วงลับไปแล้ว
อังกฤษ ในปีนั้นไปแพ้ให้กับ เยอรมันตะวันตกในรอบรองชนะเลิศด้วยการดวลลูกโทษที่จุดโทษ ทำให้ชวดเข้าชิงชนะเลิศอย่างน่าเสียดาย
ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 96 อังกฤษ ที่ได้ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ เข้ามากุมบังเหียน และได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเองด้วยนั้นก็ไปจอดแค่รอบรองชนะเลิศอีกครั้งและทีมที่เอาชนะพวกเขาได้ในรอบดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ยังเป็น เยอรมัน คู่ปรับเก่าที่ตามมาหลอกหลอนอีกครั้งด้วยการเขี่ยอังกฤษตกรอบหลังจากทำได้ดีกว่าในการดวลจุดโทษตัดสิน
ฟุตบอลโลกและฟุตบอลยูโร ในหนหลังๆของอังกฤษไปได้ไกลสุดคือรอบ 8 ทีมสุดท้าย และหลังจากไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดกับกุนซือต่างชาติมากประสบการณ์ที่ถือเป็นการแหวกประเพณีของเอฟเอ ไม่ว่าจะกับ สเวน โกรัน อีริคส์สัน และ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ในที่สุดพวกเขาก็หันกลับมาพึ่งพากุนซือชาวอังกฤษแท้ๆอย่าง รอย ฮอดจ์สัน หลังจากคนหนุ่มอย่าง สตีฟ แม็คคลาเรน ล้มเหลวกับการไม่ผ่านรอบคัดเลือกของยูโร 2008
ทัวร์นาเมนต์ยูโร 2012 คือบทพิสูจน์บทแรกของ ฮอดจ์สัน กับทัพทรีไลอ้อนส์ ซึ่งอย่างที่ทราบกันล่ะครับว่า อิตาลี เขี่ย อังกฤษ ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายจากการดวลจุดโทษอีกครั้ง การตกรอบครั้งนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตามมาด้วยการหันหลังให้กับทีมชาติของตัวเองสำหรับนักเตะมากประสบการณ์หลายๆราย
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ อังกฤษ อาจจะไม่ได้เจอเรื่องยากนักในรอบคัดเลือก และหลังจากผลการจับสลากประกบคู่แบ่งสายรอบสุดท้ายออกมา ฮอดจ์สัน และสตาฟฟ์โค้ชของเขา ยังเหลือเวลาประมาณ 6 เดือนในการเตรียมพร้อมก่อนมาเล่นในรอบสุดท้ายที่ บราซิล
การเจอกับ อิตาลี และ อุรุกวัย สะท้อนให้เห็นว่า อังกฤษ อาจจะมีชื่อเสียงเก่าๆที่พอจะข่มขวัญคู่แข่งได้ แต่ในแง่ของคุณภาพในเกมของพวกเขานั้นเป็นรองคู่แข่งทั้งสองทีมนี้ และโอกาสที่จะก้าวไปต่อในฟุตบอลโลกครั้งนี้คงลำบากอยู่ดีแม้ในทางทฤษฏียังพอมีความเป็นไปได้เหลืออยู่
รอย ฮอดจ์สัน อาจจะไม่ได้ทำอะไรพิษร้ายแรงในแง่ของการทำทีมผ่านรอบคัดเลือกมา และต้องมาเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง และยังเป็นกุนซือที่ให้โอกาสกับผู้เล่นดาวรุ่ง ผู้เล่นหน้าใหม่ๆได้เข้ามาติดทีม แต่หากเรามองในแง่ของพัฒนาการแล้วก็ต้องยอมรับว่าในแง่ของการวางแผนแล้ว ฮอดจ์สัน ยังไม่สามารถจะทำให้แฟนบอลทั่วโลกประทับใจได้ หากไม่เปลี่ยนแปลง ยูโร 2016 ก็อาจจะเป็นอีกทัวร์นาเมนต์ที่ชาติผู้ให้กำเนิดฟุตบอลจะเป็นได้แค่ผู้เข้าร่วม แต่ไม่มีลุ้น เป็นการตัดสินใจของเอฟเอ แล้วครับว่าพวกเขาจะกล้าเปลี่ยนแปลงหรือไม่