แผนการ100ปีของจีนที่จะเป็นมหาอำนาจแทนที่สหรัฐ
หนังสือที่คนในทำเนียบขาวใช้เป็นคัมภีร์ยุทธศาสตร์บ่อนทำลายจีนไม่ให้เกินหน้าเกินตา บทความโดยกรกิจ ดิษฐาน
แผนการ 100 ปีของจีนที่จะเป็นมหาอำนาจแทนที่สหรัฐ ตอนที่ 1 ว่าด้วยกุนซือผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายโจมตีจีน ผู้ให้การสนับสนุนผู้ประท้วงที่ฮ่องกง และหนังสือที่คนในทำเนียบขาวใช้เป็นคัมภีร์ยุทธศาสตร์บ่อนทำลายจีนไม่ให้เกินหน้าเกินตา โดยกรกิจ ดิษฐาน
เมื่อเดือนสิงหาคม 2019 ไมเคิล พิลส์บิวรี กุนซือของทรัมป์ว่าด้วยยุทศาสตร์จีน บอกว่า "เราได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ผ่าน National Endowment for Democracy เพื่อช่วยประชาธิปไตยในฮ่องกง ดังนั้นข้อกล่าวหาของจีนจึงไม่ผิดเสียทีเดียว"
ไมเคิล พิลส์บิวรีไม่ใช่ธรรมดา เขาคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีนชั้นแนวหน้าของสหรัฐ แต่ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญในเชิงวิชาการ เพราะเขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ ที่คอยกระซิบให้รัฐบาลสหรัฐคอยเจาะยางจีน และฮ่องกงก็เป็นจุดอ่อนที่เขาพลาดไม่ได้
ไมเคิล พิลส์บิวรี จากเว็บไซต์ michaelpillsbury.net
ทำไมสหรัฐต้องขัดขาจีน? ในฉากหน้าสหรัฐอาจจะใช้ประชาธิปไตยเป็นข้ออ้าง แต่เจตนาที่แท้จริงก็คือการสกัดกั้นไม่ให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทนที่สหรัฐ เรื่องนี้ไม่ใช่ข้อกล่าวหาลอยๆ เพราะหนังสือของพิลส์บิวรีก็บอกเรื่องนี้ไว้อย่างตรงไปตรงมา หนังสือของเขามีชื่อว่า "มาราธอน 100 ปี: ยุทธศาสตร์ลับของจีนที่จะแทนที่อเมริกาในฐานะมหาอำนาจโลก" (The Hundred-Year Marathon: China’s Secret Strategy to Replace America as the Global Superpower)
ในเว็บไซต์ของหนังสือเล่มนี้ให้แนวคิดเบื้องหลังไว้ว่า "เป็นเวลากว่า 40 ปีที่สหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้รัฐบาลจีนสร้างเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู พัฒนาความสามารถทางวิทยาศาสตร์และการทหาร และมีบทบาทขึ้นในเวทีโลก ด้วยความเชื่อที่ว่าการผงาดของจีนจะนำความร่วมมือ การทูตและการค้าเสรีมาให้เรา แต่ถ้าเกิดว่า “China Dream” คือการแทนที่เราล่ะ เหมือนกับที่อเมริกาแทนที่จักรวรรดิอังกฤษโดยไม่ต้องใช้กระสุนสักนัดเดียว?"
สีจิ้นผิงกับนโยบายความฝันจีน
ก่อนอื่นเราต้องมาวิเคราะห์แนวคิดนี้กันก่อน การบอกว่าสหรัฐคือผู้ที่ช่วยจีนให้ลืมตาอ้าปากและยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ เป็นคำกล่าวที่ถูกครึ่งเดียว ความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศเกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็น เป็นความร่วมมือที่วิน-วินด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ในช่วงเวลาที่ศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐคือสหภาพโซเวียต และศัตรูหมายเลข 1 ของจีนคือสหภาพโซเวียตเช่นกัน
จีนเคยเป็นมหามิตรของโซเวียตแต่มาแตกคอกันเรื่องอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ทำให้จีนถูกโดดเดี่ยวและเริ่มมองหาพันธมิตร ส่วนสหรัฐก็ต้องการกำลังเสริมในสงครามเย็น สถานการณ์ของทั้ง 2 ประเทศจึงนำไปสู่การจับคู่ที่พิลึกพิลั่นที่สุด ทำให้สหรัฐถึงกับทิ้งไต้หวันเพื่อหันมารับรองจีน และจัดหาที่ทางให้จีนในสหประชาชาติ
แต่ความสัมพันธ์นี้สั่นคลอนลงเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย สหรัฐไม่เหลือศัตรูอันดับ 1 อีกต่อไป ในช่วงเวลาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 - 2000 สหรัฐเป็นมหาอำนาจเดี่ยวที่ไร้ผู้ต่อกร แต่เป็นช่วงที่จีนมุ่งมั่นสร้างเนื้อสร้างตัว ในช่วงนี้เองที่ความล้มเหลวในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายและวิกฤตการเงิน 2008 ทำให้สหรัฐเสื่อมถอยลง ในขณะที่จีนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมทำให้กุนซือที่มองจีนเป็นศัตรูอย่างพิลส์บิวรีกังวลอยู่ลึกๆ
กองทัพจีนซ้อมวันฉลองครบรอบ 70 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน Photo by WANG ZHAO / POOL / AFP
โอกาสของพิลส์บิวรีมาถึง เมื่อทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนแรกในรอบหลายสิบปีที่เอาจริงเอาจังกับการกำราบจีน นับแต่นั้นมากุนซือสายเหยี่ยวจึงผงาดในทำเนียบขาว และพิลส์บิวรีก็เป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นการจะเข้าใจยุทธศาสตร์ของรัฐบาลทรัมป์ (หรือรัฐบาลรีพับลิกัน) จึงต้องเข้าใจวิธีคิดของกุนซือเหล่านี้ด้วย
พิลส์บิวรีมองจีนเป็นภัยคุกคาม และแนวคิดเรื่อง "ความฝันจีน" (China Dream หรือ Chinese Dream) ที่จะทำให้จีนยิ่งใหญ่อีกครั้ง คือศัตรูโดยตรงต่อความฝันอเมริกัน (American Dream)
ความฝันจีน คือการทำให้จีนเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ มั่งคั่ง มีค่านิยมของตัวเองที่อิงกับหลักสังคมนิยม ฟื้นฟูประเทศให้เป็นที่นับหน้าถือตาอีกครั้ง หลังจากจีนที่เคยถูกรังแกจากต่างชาติ จนกลายเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย
ส่วนความฝันอเมริกัน คือ ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ ภายใต้ค่านิยมทุนนิยม ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเท่าเทียมกัน (รวมถึงค่านิยมคริสเตียนโปรแตสแตนท์)
ในเวลานี้ยังมีการถกเถียงกันว่าความฝันจีนและความฝันอเมริกัน เป็นศัตรูกันหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายต่อต้านจีนจะมองแนวคิดนี้เป็นภัยคุกคามมากกว่า คำถามก็คือ พวกเขามองจีนเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของทุนนิยมอเมริกัน หรือเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยกันแน่?
ในหนังสือ (หน้า 28) เขาบอกว่า “หนังสือที่ไม่มีคนรู้จัก…ที่ตีพิมพ์ในประเทศจีนในปี 2009 มีชื่อว่า ความฝันจีน หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยพันเอกในกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่ชื่อหลิวหมิงฝู…นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นการอ้างอิงที่เป็นลายลักษณ์อักษรเรื่อง “มาราธอน 100 ปี”
ความฝันจีน โดยหลิวหมิงฝู
หลิวหมิงฝูอาจจะไม่ได้เอ่ยคำว่า "มาราธอน 100 ปี" โดยตรง และคำๆ นี้อาจเป็นสิ่งประดิษฐ์ของพิลส์บิวรี สิ่งที่อยู่ในหนังสือของหลิวหมิงฝูคือคำว่า "ความฝัน 100 ปีของจีน" อย่างไรก็ตาม แนวคิดในหนังสือค่อนข้างชัดเจนว่า จีนต้องโค่นสหรัฐให้ได้หากต้องการจะมีที่ยืนบนโลกนี้
พิลส์บิวรีบอกไว้ในหนังสือว่า "แผนนี้กลายเป็นที่รู้จักในนาม "มาราธอน 100 ปี" มันเป็นแผนที่ดำเนินการโดยผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่เริ่มต้นความสัมพันธ์กับสหรัฐ" และเสริมว่า นี่คือ "กลยุทธ์ลับ" ระยะปฏิบัติการหนึ่งศตวรรษนับตั้งแต่ปี 1955 - 2049 โดยจีนตั้งใจที่จะรับเทคโนโลยีตะวันตก พัฒนาเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง และในที่สุดก็เข้ามาแทนที่สหรัฐอเมริกาในฐานะมหาอำนาจโลก
หลิวหมิงฝูกล่าวไว้ในหนังสือ "ความฝันจีน (จงกั๋วเมิ่ง) ทำนองเดียวกันว่า "โลกนี้สำคัญเกินกว่าจะมอบให้สหรัฐครอบครองเพียงลำพัง" และ "การเป็นที่ 1 ในโลก และการเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 คือเป้าหมายใหญ่ของจีนในศตวรรษที่ 21"
ที่สำคัญเขาบอกว่า "ตราบใดที่จีนมุ่งมั่นที่จะผงาดขึ้นมาเป็นระดับสูงสุดของโลก และแม้กระทั่งทุนนิยมจีนยังมีสถานะเหนือกว่าของสหรัฐ สหรัฐก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสกัดกั้นจีน"
นี่อาจเป็นเหตุผลให้พิลส์บิวรีมองว่า “มาราธอน 100 ปี” คือเหตุผลที่เขาต้องโค่นจีน
หลิวหมิงฝู ภาพจาก baike.baidu.com
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพิลส์บิวรีจะมีดีกรีเป็นผู้เชี่ยวชาญ รู้ภาษาจีน เป็นที่ปรึกษารัฐบาลและสภาคองเกรส แต่ในหนังสือของเขา กลับให้เหตุผลของการเขียนโจมตีจีนไว้อย่างพิลึกพิลั่น โดยบอกว่าเขาเห็นการแสดงของ ไฉกั๋วเชียง ศิลปินชาวจีนจัดแสดงงานอาร์ตที่ชื่อ "Black Christmas Tree" ที่ National Mall ในกรุงวอชิงตัน ด้วยการเผาต้นคริสต์มาสจนกลายเป็นสีดำ ซึ่งแม้จะเป็นงานศิลปะ แต่พิลส์บิวรีกลับคิดว่ามันเป็นการบ่อนทำลายค่านิยมคริสเตียนของชาวอเมริกัน ใจกลางเมืองหลวงของชาวอเมริกัน
ในหนังสือ (หน้า 4) เขาบอกว่า “เราชาวอเมริกันยังไม่ได้มองจีนในแบบที่จีนมองเรา - ซึ่งเป็นวิธีที่จีนมองเรามานานหลายทศวรรษ เป็นไปได้อย่างไรที่สถาบันสมิธโซเนียนถึงจ่ายเงินให้ศิลปินจีนที่มีชื่อเสียงถึง 250,000 เหรียญเพื่อระเบิดต้นคริสต์มาสที่ National Mall?"
จากข้อความนี้ดูเหมือนจะได้กลิ่นของความเหยียดคนจีนอยู่เล็กน้อย แต่พิลส์บิวหลีกเลี่ยงข้อหานี้ได้ด้วยการเชื่อมโยงศิลปินจีนเข้ากับตำรายุทธศาสตร์ที่พวกสายเหยี่ยวในสหรัฐกังวลกันนักหนา
ความไม่พอใจนี้ทำให้เขาขุดคุ้ยเรื่องของ ไฉกั๋วเชียง จนพบเบาะแสที่ทำให้เขาเชื่อมั่นว่าจีนมีแผนการร้ายต่อสหรัฐ เพราะไฉกั๋วเชียงเคยให้สัมภาษณ์ว่าหนังสือเล่มโปรดของเขาคือ สงครามไร้ขีดจำกัด (Unrestricted Warfare) ซึ่งเขียนเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน
สหรัฐมองว่าหนังสือเล่มนี้คือการเผยเจตนาที่แท้จริงของจีนต่อสหรัฐ รวมถึงวิธีการที่จะจีนจะใช้โจมตีสหรัฐ
(ติดตามอ่านตอนต่อไป)