เปิดสูตรลงทุนสู้เงินเฟ้อของ วอร์เรน บัฟเฟตต์
เงินเฟ้อก็ทำอะไรไม่ได้ เผยทริคการลงทุนท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อของบัฟเฟตต์ที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
เว็บไซต์ด้านการเงินการลงทุน MoneyWise ระบุว่า การลงทุนท่ามกลางเงินเฟ้อที่มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นสร้างความหนักใจให้กับนักลงทุนไม่น้อย ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าตลาดกำลังจะบูมเร็วๆ นี้ แต่บางคนก็แย้งว่าช่วงขาลงรอเราอยู่ข้างหน้า
หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ทุกคนต้องการจะซื้อตอนราคาต่ำและขายตอนราคาสูง แต่ที่น่ากังวลคือ เราอาจจะซื้อได้ในราคาต่ำ แต่กลับต้องขายในราคาที่ต่ำกว่า
แต่หากยังไม่มั่นใจทิศทางของตลาดในขณะนี้จงจำไว้ว่า คุณไม่จำเป็นต้องซื้อขายหุ้นเพื่อทำเงิน
แต่ละปี วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังโกยเงินหลายพันล้านเหรียญสหรัฐจากเงินปันผล และในขณะนี้หุ้นส่วนใหญ่ที่อยู่ในมือบริษัท เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ของบัฟเฟตต์ เป็นหุ้นปันผล
และต่อไปนี้คือหุ้น 3 ตัวของ 3 บริษัทที่อยู่ในมือของชายที่ได้ฉายาว่า “เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา” (Oracle of Omaha) ซึ่งเงินปันผลแต่ละปีทำเงินให้กับเบิร์กเชียร์รวมกว่า 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
1.U.S. Bancorp (USB) ในฐานะบริษัทแม่ของธนาคาร U.S. Bank บริษัท U.S. Bancorp คือหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ฤดูร้อนปีที่แล้วธนาคารเพิ่มเงินสดปันผลจาก 42 เซนต์ เป็น 46 เซนต์ ต่อหุ้น มาอยู่ที่ 1.84 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น เท่ากับบริษัทให้ผลตอบแทน 3.6% ณ มูลค่าหุ้นในปัจจุบัน
เบิร์กเชียร์ถือหุ้น U.S. Bancorp อยู่ 144,046,330 หุ้น นั่นหมายความว่าเบิร์กเชียร์ได้รับเงินปันผลรายปีกว่า 265 ล้านเหรียญสหรัฐจากการถือหุ้นในบริษัทนี้แห่งเดียว
ขณะนี้ธนาคารมีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นั่นคือจะปล่อยกู้โดยคิดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยที่ธนาคารกู้ยืมเงินมา โกยเงินส่วนต่างนี้ไปเต็มๆ และเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นรายได้ของธนาคารก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย เงินปันผลก็จะขยับขึ้นด้วย
2.Coca-Cola (KO) หุ้นของเครื่องดื่มน้ำดำเป็นหนึ่งในหุ้นลูกรักของบัฟเฟตต์ เขาเริ่มสะสมหุ้น Coca-Cola มาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 ปัจจุบันเบิร์กเชียร์มือหุ้นนี้อยู่ในมือมากถึง 400,000,000 หุ้น
Coca-Cola เป็นบริษัทมหาชนมาแล้วกว่า 100 ปี เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาบิร์ดเพิ่งอนุมัติให้บริษัทปรับเพิ่มเงินปันผลประจำปีเป็นปีที่ 60 ติดต่อกัน ขยับมาอยู่ที่ 1.76 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ขณะนี้หุ้นของ Coca-Cola ให้ผลตอบแทน 2.8%
และนั่นทำให้เบิร์กเชียร์รับเงินปันผลปีละ 704 ล้านเหรียญสหรัฐจาก Coca-Cola
ไม่ยากเลยที่ Coca-Cola จะจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะเครื่องดื่มยอดฮิตของบริษัทถูกจำหน่ายในกว่า 200 ประเทศหรือดินแดน และแม้ว่าจะอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย การควักเงินซื้อโค้ก 1 กระป๋องก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนส่วนใหญ่
3.Chevron (CVX) ในช่วงที่ราคาน้ำมันทะยานไม่หยุดจะมีอะไรดีไปกว่าหุ้นพลังงาน บัฟเฟตต์เพิ่งซื้อหุ้น Chevron เพิ่มในไตรมาสที่ 1 เบิร์กเชียร์ลงทุนใน Chevron ถึง 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐด้วยการถือหุ้นทั้งหมด 159,178,117 หุ้น นับเป็นการลงทุนก้อนใหญ่เป็นอันดับ 3 ในพอร์ตการลงทุนของเบิร์กเชียร์
ด้วยความที่เป็นยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันและแก๊ส ธุรกิจของ Chevron จึงเดินหน้าแบบเต็มสูบ ไตรมาสแรกมีกำไร 6,300 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่ากำไรของช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐกว่า 4 เท่า ส่วนรายรับรวมทั้งไตรมาสอยู่ที่ 54,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 70%
เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาบอร์ด Chevron อนุมัติให้เพิ่มอัตราเงินปันผลรายไตรมาส 6% เป็น 1.42 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ดังนั้นเบิร์กเชียร์จึงมีรายรับจากเงินปันผลจากการถือหุ้น 159,178,117 หุ้นอยู่ที่ 904 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
ขณะที่หุ้นของ Chevron พุ่งขึ้นมา 50% แล้วในปีนี้ และให้เสนอผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล 3.2% ต่อปี
บัฟเฟต์ให้แง่คิดเกี่ยวกับเงินเฟ้อมาตลอดเส้นทางอาชีพนักลงทุนของเขา ผู้เขียนอัตชีวประวัติของมหาเศรษฐีวัย 91 ปีเผยว่า บัฟเฟตต์ถูกปลูกฝังเรื่องอันตรายของภาวะเงินเฟ้อจากพ่อผู้เป็นสมาชิกสภาคองเกรสจากพรรครีพับลิกัน
ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของเบิร์กเชียร์เมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา บัฟเฟตต์ก็ยังย้ำคำเตือนที่เขายึดถือมาตลอดว่า หนึ่งในเกราะป้องกันภาวะเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งที่สุดคือ การฝึกฝนทักษะของคุณและขึ้นมาอยู่แถวหน้าของสายงานให้ได้
“สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณทำได้คือ ต้องเก่งอะไรสักอย่างเป็นพิเศษ” บัฟเฟตต์กล่าวโดยยกตัวอย่างอาชีพแพทย์และนักกฎหมาย “(ผู้คน) จะให้สิ่งที่เขาหามาได้กับคุณเพื่อแลกกับสิ่งที่คุณให้บริการ” และกล่าวต่อว่า ทักษะต่างจากสกุลเงินตรงที่สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้ ถ้าคุณมีทักษะที่เป็นที่ต้องการ มันก็จะยังคงเป็นที่ต้องการไม่ว่าดอลลาร์จะมีค่าเท่าไร
“ไม่ว่าคุณมีความสามารถอะไรก็ไม่มีใครเอามันไปจากคุณได้ ไม่มีใครทำให้มันด้อยค่าลงได้ การลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาคือ สิ่งที่สามารถพัฒนาตัวคุณเอง แถมยังไม่ต้องเสียภาษีเลย”
คำแนะนำนี้คล้ายกับที่บัฟเฟตต์พูดไว้เมื่อปี 2009 ซึ่งเป็นช่วงปลายของวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) ว่า “สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำคือ ลงทุนในตัวเอง”
ครั้งนั้นบัฟเฟตต์ยังบอกด้วยว่า สิ่งที่ดีที่สุดรองลงมาคือ การลงทุนใน "ธุรกิจที่ยอดเยี่ยม" ที่สร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการไม่ว่าค่าของเงินดอลลาร์จะเป็นอย่างไร โดยยกตัวอย่างบริษัท Cola-Cola ว่าอีกหลายทศวรรษต่อจากนี้ผู้คนก็จะยังคงต้องการดื่มเครื่องดื่มที่ตัวเองชอบ โดยที่เงินเฟ้อไม่มีผลต่อการตัดสินใจของพวกเขา
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับระดับราคาไม่สร้างความแตกต่างใดๆ” บัฟเฟตต์เผย เพราะผู้คนจะยังยอมจ่ายเพื่อผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาชอบ
AFP PHOTO/Nicholas KAMM / AFP / Nicholas KAMM